พล.อ.อนุพงษ์ ทำงานวันแรก ยินดีถูกตรวจสอบเพื่อความโปร่งใส ส่วนการรับมือภัยแล้งได้ประสานกับกระทรวงเกษตรฯ ช่วยเหลือเกษตรกร…
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เข้าปฏิบัติหน้าที่กระทรวงมหาดไทยเป็นวันแรกในเวลาประมาณ 06.45 น. โดยมีข้าราชการ ระดับสูง กระทรวงมหาดไทยนำโดยนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย รอให้การต้อนรับ ซึ่งทันทีที่มาถึงพล.อ.อนุพงษ์ เข้าสักการะ ศาลพระกาฬไชยศรี และ อนุสาวรีย์สมเด็จพระยาดํารงราชานุภาพ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวง ในโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่
โดยพล.อ.อนุพงษ์ เปิดเผยว่า ในช่วงเช้าวันนี้จะประชุมร่วมกับรัฐมนตรีช่วยทั้ง 2 คน ข้าราชการกระทรวงมหาดไทย และวีดิโอคอนเฟอเร็นซ์ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศเพื่อสรุปแผนการปฏิบัติงานของกระทรวง และส่วนตัวอาจมีการมอบนโยบายในบางเรื่อง พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้รัฐมนตรีช่วยได้พูดคุยกับทุกฝ่าย ส่วนกลางเป็นงานผิดชอบจะต้องรอหลังจากมีการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาเรียบร้อยแล้ว เชื่อว่าจะไม่มีปัญหา เพราะมีการพูดคุยกันมาบ้างแล้ว จึงไม่มีปัญหาในการทำงานร่วมกับนักการเมือง
ขณะเดียวกันรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ยังมองว่า เป็นเรื่องที่ดีหากหลังจากนี้การตรวจสอบรัฐบาลจะเข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะจากพรรคฝ่ายค้าน เพราะในระบอบประชาธิปไตยคนที่ทำงานจะต้องมีการตรวจสอบเพื่อถ่วงดุลให้เหมาะสม โปร่งใส ประชาชนและประเทศชาติจะได้ประโยชน์ เพราะการใช้อำนาจของรัฐบาลกระทบต่อประชาชนทุกหย่อมหญ้า ไม่ใช่อุปสรรคในการทำงานของรัฐบาลแต่อย่างใด
พร้อมกันนี้ พล.อ.อนุพงษ์ ยังกล่าวถึงสถานการณ์ภัยแล้งที่หลายพื้นที่อยู่ในสภาวะวิกฤตว่า ปีนี้ปริมาณฝนไม่ค่อยมาก ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เตรียมที่จะออกมาตรการ ขอให้งดการปลูกในบางลุ่มน้ำ และในวันที่ 19 กรกฎาคมนี้ รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทั้ง 4 คน จะลงพื้นที่ไปดูน้ำในเขื่อน และพาเกษตรกรในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ไปดูพื้นที่จริงว่าอาจจะปลูกพืชใช้น้ำมาก หรือข้าวนาปรังไม่ได้ และคงจะมีแผนงานโครงการ ปลูกพืชอื่น ๆ ที่เหมาะสม ซึ่งทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แจ้งมายังกระทรวงมหาดไทย และได้แจ้งต่อไปทางจังหวัดแล้ว เพื่อนำเกษตรกรทุกจังหวัด ลงไปดูพื้นที่และสถานการณ์น้ำที่เขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์
ส่วนมาตรการรับมือนั้น ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีมาตรการทุกปีว่าพื้นที่ใดควรเพาะปลูกพืชอย่างไร ส่วนการประกาศพื้นที่ภัยพิบัติ ให้พิจารณาเป็นรายพื้นที่ หากจังหวัดใดเกิดพื้นที่ภัยแล้ง ไม่ว่าน้ำที่ใช้ทำการเกษตร หรือ อุปโภคบริโภค ก็จะมีการแจ้งเตือน ก่อนออกประกาศ เพื่อให้มีเวลาในการกักเก็บน้ำ แต่ถ้าถึงขั้นแล้ง และต้องออกประกาศภัยพิบัติ ก็ต้องมีมาตรการช่วยเหลือ.
