โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

กีฬา

บอลแพ้ทำไมต้องหา “แพะ” หรือ “กระทืบซ้ำ” !!!

ขอบสนาม

อัพเดต 15 ก.พ. 2561 เวลา 03.21 น. • เผยแพร่ 21 ม.ค. 2562 เวลา 09.34 น. • ขอบสนาม
บอลแพ้ทำไมต้องหา “แพะ” หรือ “กระทืบซ้ำ” !!!

นักเตะทีมชาติไทยยุติเส้นทางใน “เอเชียนคัพ 2019” ที่รอบ 16 ทีมสุดท้ายด้วยการพ่าย  จีน ทีมอันดับ 76 ของโลกไปแบบน่าเสียดาย 1-2

ขอใช้คำว่า “น่าเสียดาย” ต่อการปราชัยของนักเตะไทย เพราะเกมกับทีมจากแดน “มังกร” บอกได้เลยว่า “ช้างศึก” สู้ได้สบาย แต่เราแค่ยังไม่ดีพอที่จะชนะเท่านั้น

ไม่มีอะไรต้องน่าอายสำหรับผลงานของนักเตะทีมชาติไทย นี่คือเกมระดับ“ชิงแชมป์เอเชีย” ไม่ใช่เกมระดับภูมิภาคใกล้ๆบ้านเสียที่ไหน

ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุดแล้ว แต่เมื่อไม่ดีพอก็ต้องยอมรับว่าเขาดีกว่า กีฬามีแพ้และชนะ “ชนะได้ ต้องแพ้เป็น”

ดังนั้นการที่มีแฟนบอลบางคนไปตามด่านักฟุตบอลเพื่อหา “แพะ” สังเวยความปราชัย หรือ “กระทืบซ้ำ” ทีมชาติไทยจึงเป็นเรื่องเลอะเทอะที่สุด !!!

การวิพากษ์วิจารณ์ถือเป็นเรื่องปกติ ไม่มีใครห้ามไม่ให้ด่าหรือว่านักเตะและทีมชาติไทย แต่การตามไปด่าถึงพื้นที่โซเชียลของนักฟุตบอลแบบจิกหัวมันเป็นอะไรที่ “ล้ำเส้น” เกินไป

น่าสงสัยว่าแฟนบอลกลุ่มน้อยที่มีพฤติกรรมไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีแบบนี้เพิ่งหัดดูบอลหรืออย่างไร เอาอะไรมาคิดว่าฟุตบอลไทยเป็นทีมแถวหน้าของเอเชียที่แพ้ในเกมระดับนี้ไม่ได้

ตรงกันข้ามกับแฟนบอลส่วนใหญ่ที่เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรจึงให้กำลังใจกันมากกว่าเอาแต่คอยด่า บางคนบอกว่า “ควรภูมิใจกับทีมชาติไทยด้วยซ้ำที่สู้ได้สมศักดิ์ศรี”

อย่าลืมว่านี่คือการกลับไปสู่เกมระดับชิงแชมป์เอเชียอีกครั้งในรอบกว่า 12 ปี  และเป้าหมายก่อนขึ้นเครื่องไป “ยูเออี” คือ “เข้ารอบน็อกเอาท์”

เป้าหมายต่ำไปหรือไม่อย่างไรคงต้องแล้วแต่มุมมอง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคือ “ตามเป้า” ที่สำคัญคือระหว่างทางก่อนจะมาถึงรอบ 16 ทีมมันมีอะไรเกิดขึ้นมากมาย

ทีมชาติไทยทำท่าจะตกรอบตั้งแต่แพ้อินเดีย แบบหมดสภาพในเกมแรก 1-4 แล้ว นาทีนั้นคนด่าทั้งประเทศ ทีมแทบจะหมดความหวังแบบไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

แต่ทุกคนไม่ว่าจะเป็น สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ผู้ฝึกสอน นักฟุตบอล ต่างรวมใจกันใหม่ จนปลุก “ช้างศึก” ให้ตื่นมาสู้แล้วกู้ศรัทธากลับคืนมาได้สำเร็จ

ทุกคนล้วนทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มความสามารถ สมาคมฯ ต้องตัดสินใจครั้งสำคัญด้วยการสั่งปลด มิโลวาน ราเยวัช ออกจากตำแหน่งกุนซือ

ไม่มีใครรู้หรอกว่าการเปลี่ยนแปลงจะดีหรือไม่ ค่าชดเชยที่ต้องจ่ายอีกจะเป็นเงินเท่าไร แต่ที่สุดแล้วสมาคมฯ “ชนะเดิมพันนี้” ไม่งั้นคงได้เก็บของกลับบ้านตั้งแต่จบรอบแรกไปแล้ว

ขณะที่ “โค้ชโต่ย” ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย ต้องรับเผือกร้อนขยับขึ้นคุมทีมชาติไทยแทน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับกุนซือที่ไม่เคยมีประสบการณ์เป็น “เฮด” ในระดับทีมชาติมาก่อน

แต่ “โค้ชโต่ย” จัดการปรับเปลี่ยนทีมชาติไทยจนเหมือนคนละทีม ทั้งระบบการเล่น วิธีการเล่นก่อนจะพาทีมเข้ารอบด้วยการชนะบาห์เรน 1-0 และเสมอ ยูเออี 1-1

ทีมชาติไทยผ่ายเข้ารอบ 16 ทีมด้วยการเป็น “รองแชมป์กลุ่ม” ไม่ใช่ทีมอันดับ 3 ที่ดีที่สุด 4 จาก 6 กลุ่มด้วยซ้ำ

เกมรอบน็อกเอาท์นักเตะไทยยังเล่นได้ดี ยิงขึ้นนำจีนก่อนในรูปเกมที่ไม่ได้เป็นรอง แต่ทำได้ไม่ดีพอที่จะเป็นผู้ชนะเท่านั้น ซึ่งมันมีหลายเหตุผลปัจจัยในเกมนี้

น่าเสียดายที่ทีมชาติไทยอยู่ในสภาพที่ไม่ฟูลทีม นักเตะทั้งเจ็บและแบนหายไปถึง 4 คน และต้องยอมรับว่า “ความเก๋า” ของ “โค้ชโต่ย” เป็นรองกุนซือระดับโลกอย่าง *มาร์เซโล ลิปปี *

อย่าลืมว่าทีมจีนที่ทีมชาติไทยแพ้นั่นนะมีโค้ชที่เคยชูถ้วยแชมป์โลกมาแล้วคุมทีมอยู่ เงินค่าจ้างแพงมหาศาล ขณะที่โค้ชของไทยคือ “กุนซือขัดตาทัพ” ค่าจ้างห่างกันลิบลับ

เรื่องแทกติค การเปลี่ยนตัว หรืออะไรก็ตามแต่มันเป็นสิ่งที่โค้ชต้องตัดสินใจในเวลานั้น ไม่มีใครรู้ก่อนหรอกว่าจะถูกหรือผิด อีกทั้งผู้เล่นที่มีให้ใช้งาน “โค้ชโต่ย” ไม่ได้เลือกมาเองด้วย

ทุกอย่างมันล้วนมีเหตุและผล พึงสำนึกว่าตอน “โค้ชโต่ย” พาทีมชนะเชิดชูกันดุจเทวดา แล้วเวลาแพ้จะมากระทืบซ้ำกันทำไม ดูตามสภาพความเป็นจริงหน่อยดีมั้ย

สำหรับตัวนักฟุตบอลต้องยอมรับความจริงว่าศักยภาพนักเตะไทยไม่ได้เหนือกว่าชาติใดเลย ทัวนาเมนต์นี้มีบางคนเท่านั้นที่ได้มาตรฐานเอเชีย แต่อีกหลายคนถือว่าสอบไม่ผ่าน

ทว่าเรื่องหัวจิตหัวใจไม่ต้องพูดถึง ทุกคนเต็มร้อยทุกนัดไม่มีถอดใจ ส่วนคำว่า “เตะไล่โค้ช” เป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรงเกินไป

นักบอล “ไม่เอาโค้ช” เป็นเรื่องความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับโค้ชคนเก่า แต่ไม่ใช่จะเตะไล่โค้ช การเตะไล่โค้ชหมายถึงไม่เต็มร้อย เจตนาให้ผลการแข่งขันไม่ดี

แต่เท่าที่เห็นเวลาลงสนามทุกคนเล่นเต็มที่ตามแทคติกของโค้ช และคงไม่มีใครโง่อยากลงสนามไปเล่นแล้วให้ถูกด่าในยุคโซเชียลแรงๆแบบนี้แน่นอน

ฟุตบอลแพ้คือแพ้ มันเป็นเรื่องของกีฬา ไม่ต้องตามหา “แพะ” เพื่อกระทืบซ้ำใคร ชนะไปด้วยกันก็ต้องแพ้ไปด้วยกันทั้งทีมและทั้งประเทศ สู้ต่อไป….ไทยแลนด์

 

                                                                                 “บับเบิ้ล”

 

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0