โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

บล.กสิกรคาดเลือกตั้งไม่เกินมี.ค. 62 เงินต่างชาติเริ่มไหลกลับ คาดสิ้นปียืนเหนือ1,800

Money2Know

เผยแพร่ 25 ก.ย 2561 เวลา 09.59 น. • money2know - เงินทองต้องรู้
บล.กสิกรคาดเลือกตั้งไม่เกินมี.ค. 62 เงินต่างชาติเริ่มไหลกลับ คาดสิ้นปียืนเหนือ1,800

บล.กสิกรไทย คาดการณ์กรอบเลือกตั้งในประเทศ ก.พ.-มี.ค. 62 ประเมินได้รัฐบาลผสม ไม่กระทบนโยบายหลักรัฐบาลคสช. มั่นใจประกาศเลือกตั้งเมื่อไรนักลงทุนต่างชาติกลับมาแน่ คาดปีนี้ดัชนีมีโอกาสยืนเหนือ 1,800 แนะลงทุนหุ้นอิงปัจจัยในประเทศ

นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่าในกลางเดือน กย.ที่ผ่านมา กฏหมาย 2 ฉบับเรื่องการได้มาซึ่ง สส. และ สว. ได้มีการทูลเกล้าพิจารณาโปรดเกล้าฯแล้ว และถ้ามีการพิจารณาโปรดเกล้าฯลงมาจะเป็นข่าวดีกับตลาดหุ้นไทยอย่างแน่นอน

เพราะเป็นปัจจัยที่ยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนโดยคาดการณ์แล้วว่าการเลือกตั้งในรอบที่จะถึงนี้จะมีขึ้นในระหว่างเดือน ก.พ.-มี.ค 62 อย่างไรก็ตามต้องรอประกาศอย่างเป็นทางการของสำนักงานคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ในช่วงเดือน ธ.ค.นี้ โดยคาดการณ์ว่าการเลือกตั้งในปี 62 จะเป็นการเลือกตั้งแบบบัตรใบเดียวเลือกได้ทั้ง สส. และ สว.

โดยจะเเบ่งการเลือกตั้ง สส. เป็น 2 ระบบ คือระบบเขตที่จะมี สส. จำนวน 350 คน และระบบบัญชีรายชื่อมีจำนวน สส. 150 คน และได้มีการเก็บสถิติจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในปี 62 พบว่ามีจำนวน 52 ล้านคน โดยทุกๆครั้งของการเลือกตั้งจะมีผู้มาใช้สิทธิ์ราว 70% ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด

คาดรัฐบาลใหม่เป็นรัฐบาลผสม

สำหรับการเลือกตั้งในปี 62 นี่จะมีกฏแบบใหม่ที่อาจจะทำให้แต่ละพรรคไม่สามารถมี สส.เกิน 250 คน จึงทำให้คาดการณ์ได้ว่าการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งในปี 62 จะเป็นการจัดตั้งแบบผสม พรรคอย่างพลังประชารัฐก็มีโอกาสเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลได้เหมือนกัน ไม่ใช่เพียงแค่พรรคเพื่อไทย กับ พรรคประชาธิปัตย์ เท่านั้น

คาดว่ารัฐบาลหน้าจะเข้ามาสานนโยบายที่ค้างของรัฐบาลคสช. อย่างเรื่อง EEC ได้อย่างแน่นอนทำให้กลไกลเศรษฐกิจภายในประเทศน่าจะยังขับเคลื่อนได้เป็นอย่างดี และหลังจากที่มีการประกาศเลือกตั้งอย่างเป็นทางการจะทำให้นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนในประเทศไทยได้เป็นจำนวนมาก

คาดการณ์ว่าจากนี้นับไปอีก 6 เดือนข้างหน้าจะมีเงินทุนจากต่างชาติไหลเข้ามาราว 50,000 ล้านบาท - 100,000 ล้านบาท

ดังนั้นเรื่องที่เราจะต้องจับตาอย่างใกล้ชิดนอกจากการประกาศวันเลือกตั้งอย่างเป็นทางการภายในประเทศ แล้วยังต้องจับตาสถานการณ์ในต่างประเทศด้วยเช่นกันซึ่งก็มีอยู่ด้วยกัน 2 เรื่องที่จะต้องจับตามองเป็นพิเศษในขณะนี้คือ 1.เรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน 2.ปัญหาเศรษฐกิจในประเทศเกิดใหม่

เลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐทำประเทศคู่ค้าเดือดร้อน

ในช่วงไตรมาส 4 ปัญหาข้อพิพาทการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้าโดยเฉพาะจีนจะเป็นช่วงที่ตึงเครียดเป็นอย่างมากและจะส่งผลกระทบกับประเทศต่างๆทั่วโลกได้ไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะช่วงเดือน พ.ย.ที่จะถึงนี้เป็นการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ ซึ่งมีความสำคัญต่อตัวประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นอย่างมาก

เนื่องจากตอนนี้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังถูก F.B.I. ตรวจสอบเรื่องการแทรกแซงการเลือกตั้งที่กำลังจะจัดขึ้นในเดือน พ.ย. นี้และสามารถนำไปสู่การถอดถอนได้ ซึ่งเสียงข้างมากของสส.ในสภาร่างสหรัฐฯมีความสำคัญกับการกำหนดชะตาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นอย่างมาก

ทำให้ช่วงนี้เป็นช่วงที่บีบคั้นเป็นอย่างมากทั้งต่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประเทศคู่ค้าอื่นๆด้วยเช่นกัน เนื่องจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะงัดนโยบายอเมริกันเฟิร์สท มาใช้บีบคู่ค้าประเทศอื่นเพื่อเอาใจประชาชนในประเทศสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการหาเสียงในการเลือกตั้งกลางเทอมที่จะถึงไปในตัวด้วยเช่นกัน

ด้วยปัจจัยดังกล่าว จึงทำให้ประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯจะต้องรับภาระหนักในช่วงก่อนถึงเดือน พ.ย.นี้ แต่หากผ่านการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯไปแล้ว เชื่อว่าสถานการณ์จะกลับมาดีขึ้นและการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน อาจได้บทสรุปด้วยเช่นกัน

ไทยไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตค่าเงิน

ส่วนกรณีปัญหาเศรษฐกิจในประเทศเกิดใหม่นั้น ประเทศในกลุ่มนี้มีหนี้ต่างประเทศเยอะ เงินเฟ้อสูง และมีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งเป็นโอกาสที่จะถูกโจมตีค่าเงินได้เนื่องจากช่วงนี้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ กำลังอยู่ในช่วงแข็งค่า และราคาน้ำมันที่อยู่ในช่วงขาขึ้นทำให้เกิดวิกฤติกับประเทศเกิดใหม่

แต่เชื่อว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลเสียกับประเทศไทยได้เพียงแค่ไตรมาส 4 เท่านั้น เพราะช่วงไตรมาส 4 จะเป็นช่วงที่สกุลเงินยูโรแข็งค่าขึ้น และถ้าราคาน้ำมันไม่ปรับตัวสูงขึ้นจากนี้มากนักก็จะส่งผลดีกับไทย เนื่องจากประเทศไทยยังคงมีเงินทุนสำรองประเทศที่ค่อนข้างเยอะ หนี้ต่างประเทศน้อย

ทำให้สกุลเงินบาทขณะนี้แทบไม่มีการปรับเปลี่ยนเลยถ้าเทียบกับสกุลเงินอื่นจากภาวะดอลลาร์แข็งค่า จึงทำให้เชื่อมั่นว่าถ้าผ่านพ้นช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ไปได้ทิศทางเศรษฐกิจไทยก็น่าจะดีขึ้น

คาด GDP สิ้นปีอยู่ที่ 4.5 และแบงค์ชาติยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ย

เศรษฐกิจในประเทศช่วงไตรมาส 4 เป็นช่วงการฟื้นตัวการบริโภคภายในประเทศแต่อาจยังไม่ฟื้นมากเท่าไรนัก แต่กลุ่มผู้มีรายได้นอกเกษตรยังไม่น่าเป็นห่วง เพราะมีการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยค่อนข้างเยอะแสดงให้เห็นถึงว่ายังมีกำลังจับจ่ายอยู่

แต่กลุ่มที่น่าเป็นห่วงคือกลุ่มที่มีรายได้ในภาคเกษตรเนื่องจากราคาเกษตรกรรมยังไม่ดีเท่าไรนัก แต่คาดว่าไตรมาส 4 ปีนี้จะไม่แย่เท่าไรนัก เพราะ คสช.เร่งหาเสียงความนิยมด้วยการใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในแง่การบริโภคอยู่ไม่น้อย จึงทำให้ภาพรวมการซื้อของเศรษฐกิจไทยยังไม่ถึงจุดตกต่ำคาดการณ์ว่า GDP สิ้นปีอยู่ที่ 4.5

ในส่วนของการขึ้นดอกเบี้ยในประเทศคาดการณ์ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยภายในปีนี้เนื่องจากท่าทีของ ธปท. ที่แสดงออกมาตลอดก็ยังมีความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยอยู่พอสมควร และการณ์คาดการณ์ GDP ของ ธปท. ยังคงอยู่ที่ 4.4% เหมือนเดิม หมายความว่ายังอาจจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยภายในปีนี้

ทำให้อัตราดอกเบี้ยในประเทศจะยังคงอยู่ที่ 1.5% เหมือนเดิมและอาจไปปรับขึ้นในช่วงปี 62

ในส่วนของภาพรวม SET INDEX ก็ยังมองว่าสิ้นปีนี้น่าจะไต่ไปถึง 1805 จุดได้ไม่ยาก ด้วยแรงขับเคลื่อนในประเทศเช่นการลงทุนในประเทศที่มีอัตราเติบโตขึ้น

คาดการณ์กลุ่มหุ่นไหนร่ง-ร่วง ไตรมาส 3

โดยในไตรมาส 3 นี้หุ้นที่ยังส่งผลดีกับนักลงทุนคือหุ้นประเภท โรงพยาบาล, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และอาหาร จะมีผลดีจากการอิงกับสภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ

ส่วนหุ้นที่จะอยู่ในช่วงขาลงได้แก่หุ้นในกลุ่มน้ำมัน และปิโตรเคมี เนื่องจากเป็นช่วงขาลงของการกลั่น

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0