มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุ ผลสำรวจดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชันไทยล่าสุดแย่ลงในรอบ 3 ปี สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจเกือบ 2 แสนล้านบาท
นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ผลสำรวจดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชันไทย จากกลุ่มตัวอย่าง 2,400 ทั่วประเทศ ณ เดือน ธันวาคม 2560 พบว่า ดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชันไทย อยู่ระดับที่ 52 ลดลงจากการสำรวจในเดือน มิถุนายน ที่ระดับ 53 ลดลงครั้งแรกในรอบ 3 ปี สะท้อนสถานการณ์คอร์รัปชันรุนแรงมากขึ้น นอกจากนี้ ดัชนีปัญหาและความรุนแรงการคอร์รัปชั่นมีความรุนแรงมากขึ้น โดยลดลงมาอยู่ที่ 42 จากครั้งก่อนอยู่ที่ระดับ 44 มีเพียงดัชนีการสร้างจริยธรรมและจิตสำนึกที่ปรับเพิ่มขึ้นจาก 60 เป็น 62 ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ประมาณการว่า มูลค่าการคอร์รัปชั่นอยู่ที่ 5-15% ของงบประมาณ หรือประมาณ 66,271 - 198,814 ล้านบาท
ส่วนสาเหตุสำคัญที่สุดของการเกิดการทุจริตคอร์รัปชันในประเทศไทย เกิดจากความไม่เข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายและกฎระเบียบ กระบวนการทางการเมืองขาดความโปร่งใส่และตรวจสอบได้ยาก รวมทั้งกฏหมายเปิดโอกาสให้สามารถใช้ดุลยพินิจที่เอื้อต่อการทุจริต เนื่องจากรัฐบาลมีกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างมากขึ้น โดยรูปแบบการทุจริตคอร์รัปชันในสังคมไทยที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุด คือ การทุจริตเชิงนโยบาย โดยผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง การใช้ตำแหน่งทางการเมืองเพื่อเอื้อประโยชน์ให้พรรคพวก และการให้สินบน ของกำนัล หรือของรางวัลต่าง ๆ
ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย บอกว่า สถานการณ์คอร์รัปชั่นไทยเริ่มมีสัญญาณดิ่งลงเรื่อยๆ หลังปี 2558 หลังเริ่มมีการ จัดซื้อจัดจ้างโครงการลงทุนขนาดใหญ่ โดยพบว่า อัตราการจ่ายใต้โต๊ะในปี 2560 อยู่ที่ 5-15% ถือว่าสูงสุดในรอบ 3 ปี นับจากปี 2558