ภาพการชุมนุมประท้วงในฮ่องกง เพิ่งผ่านไปไม่นาน ตอนนี้การชุมนุมประท้วงใหญ่กำลังเกิดขึ้นอีกเช่นกัน ในสาธารณรัฐเช็ก ในเมืองหลวงกรุงปราก ที่มีประชาชนกว่า 250,000 คน ออกมารวมตัวกัน เรียกร้องให้ผู้นำลาออกจากตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นการชุมนุมครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 30 ปี นับตั้งแต่การปฏิวัติกำมะหยี่ เพื่อยุติลัทธิคอมมิวนิสต์
ประชาชนจากทั่วประเทศ เดินทางมารวมตัวประท้วงในสวน Letna ในกรุงปราก ซึ่งเป็นสถานที่สัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ชุมนุมประท้วง 30 ปีที่ผ่านมา การชุมนุมนี้ เริ่มขึ้นมาเป็นเวลากว่า 1 สัปดาห์แล้ว โดยที่ประชาชนเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี Andrej Babiš ลาออกจากตำแหน่ง จากกรณีการทุจริตคอร์รัปชั่น แม้ว่าจะเคยเป็นผู้นำที่ชูนโยบายต่อต้านคอร์รัปชั่น แต่ตัวเองกลายเป็นสัญลักษณ์ของการทุจริตเสียเอง
นอกจากการเป็นผู้นำแล้ว Babiš ยังเป็นคนที่รวยที่สุดในประเทศอันดับ 2 ด้วย ซึ่งประชาชนมองว่า เขาเป็นภัยคุกคามต่อระบอบประชาธิปไตย ซึ่งจุดเริ่มต้นของความไม่พอใจในตัวผู้นำนี้ เริ่มต้นมาจากข่าวอื้อฉาวที่ Babiš เกี่ยวข้องมานานกว่าทศวรรษ กับทั้งกลุ่ม และบริษัท Agrofert ที่เขาก่อตั้งขึ้น ซึ่งเป็นบริษัทใหญ่ที่มีการจ้างงานรายใหญ่ท่สุดในประเทศ โดยเขาถูกกล่าวหาว่าใช้เงินอุดหนุนในทางที่ผิด จากสหภาพยุโรปในการพัฒนาฟาร์ม และศูนย์การประชุมที่รู้จักกันในชื่อ Stork Nest ทั้งประชาชนยังสงสัยว่า เขากำลังทำการบางอย่างกับข้อกฎหมาย เพื่อใช้ปกป้องตัวเอง
Martin Exner นายกเทศมนตรีเมือง Nova Ves วัย 56 หนึ่งในผู้ชุมนุมมองว่า การประท้วงครั้งนี้เป็นสิ่งที่ต้องทำให้เสร็จสิ้น จากการปฎิวัติกำมะหยี่ซึ่งเขากล่าวว่ายังไม่เสร็จ ในขณะที่ Babiš เองกล่าวว่า “สาธารณรัฐเช็กจะไม่เปลี่ยนแปลงรัฐบาล เพียงเพราะการประท้วงบนท้องถนน” ทั้งเขายังโต้เถียงสื่อต่างๆ ในเช็กว่า “ไม่มีใครควรเชื่อเรื่องโกหกของพวกเขา” และเขาจะทำงานต่อไปเพื่อทำให้สาธารณรัฐเช็กยิ่งใหญ่อีกครั้ง
ศาสตราจารย์ Lubomir Kopeček นักวิเคราะห์ทางการเมืองจากมหาวิทยาลัย Masaryk มองถึงการชุมนุมในเช็กว่า “ถ้าคุณดูที่แนวโน้มทางการเมือง มันไม่ใช่แค่เรื่องของการประท้วง แต่คุณจะเห็นว่า Babiš มีปัญหาทางการเมืองมากมาย” ทั้ง “ ในระยะยาว อาจ 6-8 เดือน พวกเขาอาจสามารถทำบางอย่างที่เห็นผล เช่นการลาออก หรือการตกต่ำของคณะรัฐมนตรี”
อ้างอิงจาก
#Brief #TheMATTER
