ไทยยังคุมไวรัสโคโรนาได้ ผู้ป่วยคงที่ 35 ราย รักษาหายแล้วครึ่งหนึ่ง จ่อยกระดับโรคติดต่ออันตราย
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงผลการประชุมคณะกรรมการอำนวยการเตรียมความพร้อมป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ ว่า ที่ประชุมได้รับทราบผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาของเจ้าหน้าที่ในการดูแลป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ที่ผ่านมา มาตรการป้องกันของรัฐบาลถือว่ามีประสิทธิภาพ สามารถควบคุมไวรัสโควิด-19 ได้ ทำให้สถานการณ์ในไทยยังอยู่ในระดับที่ 2 เท่านั้น แต่ตนได้สั่งการให้ดูแลข้อมูลในการทำหน้ากากอนามัย และมาตรการดูแลภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะผู้ได้รับผลกระทบและผู้ประกอบการ โดยจะมีการนำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมพร้อมรับมือการแพร่ระบาดในระดับที่ 3 นั้น เป็นเพียงการทำงานเชิงรุกเพื่อเตรียมการ ไม่ได้หมายความว่าสถานการณ์ในไทยอยู่ในระดับที่ 3 จึงขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนก เพื่อที่หากมีสถานการณ์ จะได้มีความพร้อมในการรับมือ และขอให้สื่อมวลชนอย่าสร้างข่าวบิดเบือนข้อมูล อย่าสร้างเฟคนิวส์ และสร้างถ้อยคำเกลียดชัง ขอย้ำว่าเจ้าหน้าที่ยังดูแลควบคุมสถานการณ์ได้
ขณะที่การเฝ้าระวังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังดำเนินการต่อเนื่อง ด้าน นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค พร้อมด้วย นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ ที่ปรึกษาระดับกลาง นายแพทย์ทรงวุฒิ กล่าวว่า ยืนยันสถานการณ์การระบาดของโรคโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 คงที่ 35 คน รักษาหายแล้ว 17 คน เหลือรักษาตัวในโรงพยาบาล 18 คน
ส่วนผู้ป่วยติดเชื้อที่มีอาการหนัก 2 คน อาการคงที่ และได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ ที่ทางการจีนมีการใช้ทดลองรักษาผู้ป่วย ร่วมกับยาต้านไวรัสเอดส์ และยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ และมีการใช้เครื่องเอ็กซ์โม ปอด และหัวใจเทียม เชื่อว่ามีแนวโน้มดีขึ้น ส่วนผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค สะสม 1,052 คน รักษาหายแล้วอนุญาตกลับบ้าน 861 คน เหลือรักษาตัวในโรงพยาบาล 191 คน
นอกจากนี้ ที่ประชุมเตรียมหารือ เพื่อยกระดับมาตรการการควบคุมโรคให้การติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่เป็นโรคอุบัติใหม่นี้ ให้เป็นโรคติดต่ออันตราย ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อร้ายแรง 2558 มีผลให้เกิดการบูรณาการ ทุกภาคส่วน ทั้งด้าน 1.การระดมทรัพยากร การรักษาพยาบาล ที่มีกระทรวงสาธารณสุข
2.ช่วยชะลอป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดของโรค เกิดการช่วยเหลือในทุกหน่วยงานท้องถิ่น มหาดไทย และรัฐวิสาหกิจ ร่วมกันผลิตหน้ากากอนามัยผ้า
ทั้งนี้การประชุมดังกล่าวจะมีขึ้นอีกครั้งในวันที่ 24 ก.พ. นี้ โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน ร่วมกับนักวิชาการ เพื่อหาข้อสรุปว่า จะมีการยกระดับความรุนแรงของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 หรือไม่ หากเห็นชอบก็ร่างประกาศ และลงนามให้มีผลบังคับให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นโรคติดต่ออันตราย ซึ่งจะมีผลให้สามารถใช้อำนาจทางกฎหมายเข้ามาควบคุมโรค ได้ง่ายขึ้น มากกว่าที่ทุกวันนี้เป็นการขอความร่วมมือ ใครจะปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติก็ได้ แต่เมื่อเป็นกฎหมาย เป็นโรคติดต่ออันตรายจะมีผลให้ ผู้ไม่ปฏิบัติตาม มีโทษทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้เพื่อเตรียมรับมือกับการระบาดของโรคที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อีก 2 เดือนข้างหน้าหรือการระบาดในเฟส 3
ส่วนปัจจัยของการยกระดับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ให้เป็นโรคติดต่ออันตราย เกิดจาก 4 ปัจจัย ได้แก่
1.เป็นโรคที่ไม่เคยปราฎมาก่อน
2.เป็นโรคที่มีความรุนแรง มีการป่วย และเสียชีวิตสูง
- มีการแพร่ระบาดตามประเทศต่างๆ
- การจำกัดการเดินทาง
นพ.โสภณ กล่าวต่อ ขณะนี้ประเทศไทยยังไม่ได้มีการประกาศห้ามการเดินทาง เพียงแต่ให้คำแนะนำเลี่ยงการเดินทางเพื่อความปลอดภัย ในส่วนของการควบคุมป้องกันโรค ในการตรวจคัดกรองผู้เดินทางมาจากประเทศญี่ปุ่นและสิงคโปร์ พบว่าจนถึงขณะนี้ยังไม่พบผู้ป่วยแม้แต่รายเดียว แต่เพื่อความไม่ประมาท ยังต้องคงมาตรการเช่นนี้ต่อไปเพื่อความปลอดภัย โดยเน้นการเฝ้าระวังคนที่มีไข้สูง 37.5 องศาและมีการป่วยระบบทางเดิน หายใจร่วมด้วย ซึ่งคาดว่าตัวเลขนักเดินทางที่มีอาการเจ็บป่วยอาจจะเริ่มแสดงได้ หากสถานการณ์การเจ็บป่วยมากขึ้นในอีก 1-2 เดือน
ส่วนสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศเกาหลีใต้ แบบก้าวกระโดด ยืนยันไม่ห้ามการเดินทาง และในส่วนที่จะมีการกิจกรรมแฟนมีทติ้ง นั้น เชื่อว่าในส่วนของศิลปินก็ต้องปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรค แต่ในส่วนของผู้เข้าร่วมกิจกรรม ควรสวมใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกัน และหมั่นล้างมือ
ส่วนเรื่องการติดตามให้การช่วยเหลือผู้โดยสารและลูกเรือชาวไทย ในเรือไดมอนด์ ปริ๊นเซสนั้น ล่าสุดได้รับรายงานจากสถานทูตญี่ปุ่น ว่า ในส่วนของคนป่วยก็ได้รับการรักษา ส่วนคนที่ผลการตรวจยืนยัน อยู่ระหว่างการติดต่อประสานมาว่าจะกลับไทยหรือไม่ ขณะนี้ยังไม่ได้รับการยืนยัน ซึ่งการปฎิบัติตัว จากนี้ต้องทำตามกลไกมาตรการการควบคุมโรค ของประเทศนั้นๆ หากครบกำหนดจึงจะสามารถกลับบ้านได้.