โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

ธปท.อัด 4 มาตรการวงเงิน 9 แสนล้าน ปล่อยซอฟท์โลน SME – ดูแลตลาดตราสารหนี้

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 05 ส.ค. 2565 เวลา 06.49 น. • เผยแพร่ 07 เม.ย. 2563 เวลา 10.09 น.
วิรไท แบงก์ชาติ
file. Photo credit should read ZACH GIBSON/AFP via Getty Images

2 มาตรการแรกวงเงิน 5 แสนล้าน ช่วยลูกหนี้ SME พักชำระเงินต้น-ดอกเบี้ยนานสูงสุด 6 เดือน ปล่อยซอฟท์โลนดอกเบี้ย 2% เป็นเวลา 2 ปี ตั้งกองทุน BSF วงเงิน 4 แสนล้าน ประคองตลาดตราสารหนี้ แถมลดต้นทุนนำส่งกองทุน FIDF หวังแบงก์ลดดอกเบี้ยกู้ช่วยลูกค้า

นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. และกระทรวงการคลังได้ทำงานร่วมกันเพื่อออกมาตรการช่วยบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โรคโควิด 19) ต่อประชาชนและภาคธุรกิจมาต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การแพร่ระบาดมีแนวโน้มรุนแรงและยาวนานกว่าคาด จึงมีมาตรการเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้มีเงินทุนและสภาพคล่องเพียงพอเพื่อดำเนินธุรกิจและรักษาการจ้างงานต่อไปได้

รวมทั้งมีมาตรการเพื่อดูแลเสถียรภาพตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน เพื่อรักษาช่องทางการระดมทุนของภาคเอกชนและรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจและการเงินของประเทศ โดยมาตรการในครั้งนี้จะประกอบด้วย 4 ส่วนที่สำคัญ ได้แก่

มาตรการที่ 1 : การเลื่อนกำหนดการชำระหนี้สำหรับธุรกิจ SMEs ที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 100 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 6 เดือน เพื่อช่วยให้ SMEs มีสภาพคล่อง โดยธุรกิจ SMEs ที่มีวงเงินสินเชื่อกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFI) แต่ละแห่งไม่เกิน 100 ล้านบาท จะได้รับสิทธิ์เป็นการทั่วไป โดยไม่ต้องชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 6 เดือน และในช่วงที่ผ่อนปรนนี้ไม่ถือว่าเสียประวัติข้อมูลเครดิต

“ส่วนธุรกิจ SMEs ที่ไม่ได้ประสบกับปัญหาสภาพคล่องในช่วงนี้ ธปท. แนะนำว่าควรชำระหนี้ตามปกติหรือตามความสามารถ เนื่องจากมาตรการนี้เป็นเพียงการเลื่อนกำหนดวันชำระหนี้เท่านั้น ธนาคารยังคงคิดดอกเบี้ยอยู่ และที่สำคัญการชำระหนี้ตามปกติจะช่วยให้ธนาคารมีสภาพคล่องที่จะไปดูแลธุรกิจ SMEs ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากวิกฤตการณ์โควิด-19 ได้มากขึ้นด้วย” นายวิรไท กล่าว

นอกจากนี้ เพื่อสนับสนุนให้ธนาคารพาณิชย์ (ธ.พ.) เข้าไปช่วยเหลือสภาพคล่องให้ลูกหนี้ได้อย่างเต็มที่ ธปท. จึงได้ผ่อนปรนเกณฑ์การบริหารสภาพคล่องชั่วคราวอีกด้วย

มาตรการที่ 2 : การสนับสนุนสินเชื่อใหม่ (Soft Loan) ให้แก่ธุรกิจ SMEs วงเงินสินเชื่อไม่เกิน 500 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่อง อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนพิเศษร้อยละ 2 ต่อปี และไม่คิดดอกเบี้ยในช่วง 6 เดือนแรก โดย ธปท. จัดสรร Soft Loan อัตราดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี ให้ธนาคารวงเงินรวม 5 แสนล้านบาท เป็นเวลา 2 ปี เพื่อให้ธนาคารนำไปให้สินเชื่อแก่ธุรกิจ SMEs ที่ดำเนินธุรกิจในประเทศและมีวงเงินสินเชื่อกับธนาคารแต่ละแห่งไม่เกิน 500 ล้านบาท และมีสถานะผ่อนชำระปกติ หรือ ค้างชำระไม่เกิน 90 วัน (ยังไม่เป็น NPL) ณ วันที่ 31 ธ.ค.62

ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวไม่ครอบคลุมถึงบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET และ mai)  โดยวงเงินที่ SMEs แต่ละรายสามารถขอกู้ได้จะไม่เกิน 20% ของยอดหนี้คงค้างของลูกหนี้ ณ สิ้นเดือน ธ.ค.62 สำหรับ SMEs ที่สนใจสามารถขอสินเชื่อได้ที่ธนาคารที่ท่านเป็นลูกค้าและมีวงเงินสินเชื่ออยู่

“ในช่วง 2 ปีแรก ธนาคารจะคิดอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนพิเศษร้อยละ 2 ต่อปี โดยในช่วง 6 เดือนแรกรัฐบาลจะรับภาระดอกเบี้ยแทนลูกหนี้ ส่งผลให้ลูกหนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ย และเพื่อสนับสนุนให้ธนาคารเร่งปล่อยสินเชื่อใหม่ในภาวะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังมีความไม่แน่นอนสูง รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังจะชดเชยความเสียหายบางส่วนให้แก่ธนาคารในส่วนที่ปล่อยกู้เพิ่มเติมด้วย” นายวิรไท กล่าว

ทั้งนี้ กรณีที่หนี้กลายเป็นหนี้เสียเมื่อสิ้นสุดระยะเวลา 2 ปี โดยรัฐบาลจะชดเชยความเสียหายให้ไม่เกิน 70% ของสินเชื่อที่ปล่อยเพิ่มสำหรับลูกหนี้ที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 50 ล้านบาท และชดเชยให้ไม่เกิน 60% ของสินเชื่อที่ปล่อยเพิ่มสำหรับลูกหนี้ที่มีวงเงินสินเชื่อ 50-500 ล้านบาท

“เราประเมินว่าจะมีลูกหนี้ราว 1.7 ล้านราย และมียอดคงค้างทั้งสิ้น 2.4 ล้านล้านบาท ที่เราคิดว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากแพ็กเกจซอฟท์โลน โดยวงเงินในมาตรการที่ 1 และ 2 รวมทั้งสิ้น 5 แสนล้านบาท เป็นสภาพคล่องจาก ธปท. ทั้งหมด ซึ่งเป็นคนละส่วนกับเงินสำรองระหว่างประเทศ และไม่มีวงเงินส่วนของ ธ.พ.เข้ามาผสมอย่างในกรณีการออกซอฟท์โลนช่วงน้ำท่วมปี 2554” นายวิรไท กล่าว

โดย ธปท. และกระทรวงการคลังจึงเห็นควรจัดตั้งกองทุนเสริมสภาพคล่องตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน (Corporate Bond Stabilization Fund: BSF) เพื่อเป็นแหล่งเงินสำรองชั่วคราว (Bridge Financing) วงเงินรวมทั้งสิ้น 4 แสนล้านบาท สำหรับเข้าไปซื้อตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทที่มีคุณภาพดีที่มีตราสารหนี้ครบกำหนดชำระในช่วงปี 2563-2564

โดยบริษัทที่ขอรับความช่วยเหลือจากกองทุนฯ จะต้องชำระอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าอัตราตลาด และต้องระดมทุนส่วนใหญ่ได้จากแหล่งเงินทุนอื่น เช่น การกู้เงินธนาคารพาณิชย์หรือการเพิ่มทุน และต้องมีแผนการจัดหาทุนในระยะยาวที่ชัดเจน รวมทั้งต้องผ่านเกณฑ์และปฏิบัติตามเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำกับกองทุนกำหนด

“เราย้ำว่าไม่ได้มีวัตถุประสงค์ดูแลผู้ออกตราสารหนี้เป็นรายๆ เราให้น้ำหนักเป็นพิเศษในการดูแลเสถียรภาพระบบการเงิน หากกลไกในตลาดตราสารหนี้ทำงานไม่ปกติจึงจะมีการใช้เครื่องมือดังกล่าว ซึ่งรายละเอียดกฎเกณฑ์ต่างๆ จะมีคณะกรรมการกำกับโครงการกำหนดออกมาอีกครั้งหนึ่ง” นายวิรไท กล่าว

และ มาตรการที่ 4 : การลดเงินนำส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ของธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ (สถาบันการเงิน) เพื่อลดภาระดอกเบี้ยเงินกู้ของภาคธุรกิจและประชาชน โดย ธปท. ปรับลดอัตรานำส่งเงินกองทุน FIDF จากเดิม 0.46% เหลือ 0.23% ของฐานเงินฝาก เป็นระยะเวลา 2 ปี เพื่อให้สถาบันการเงินไปปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพิ่มเติมให้กับประชาชนและภาคธุรกิจในทันที และคาดหวังว่า ธ.พ.จะลดดอกเบี้ยเงินกู้ไม่ต่ำกว่า 0.23% จากที่ ธปท. ลดต้นทุนเงินนำส่งให้

นายวิรไท กล่าวว่า เพื่อให้ ธปท. สามารถดำเนินมาตรการช่วยเหลือ SMEs และดูแลเสถียรภาพของตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนข้างต้นได้ คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) สองฉบับ ได้แก่ 1.ร่าง พ.ร.ก. การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา และ 2.ร่าง พ.ร.ก. การสนับสนุนสภาพคล่องเพื่อดูแลเสถียรภาพตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน

“ธปท. เชื่อมั่นว่ามาตรการต่างๆ ที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่มาตรการสนับสนุนให้สถาบันการเงินเร่งปรับโครงสร้างหนี้ให้ลูกหนี้ มาตรการผ่อนปรนการชำระหนี้สำหรับลูกหนี้รายย่อย รวมถึงมาตรการเพิ่มเติมในครั้งนี้จะช่วยดูแลประชาชน ภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งช่วยรักษาเสถียรภาพของตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนและระบบการเงินของประเทศให้ทำงานได้ต่อเนื่อง ธปท. จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและพร้อมจะมีมาตรการเพิ่มเติมหากจำเป็น” นายวิรไท กล่าว

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0