ท้องไม่ได้ผิดกฎหมาย! อยากลดการ“ท้องแบบไม่ตั้งใจ” แก้ปัญหาให้ตรงจุด
BY : TEERAPAT LOHANAN
ประเทศไทยนับได้ว่าเป็นประเทศที่มีปัญหาในเรื่องของการท้องในวัยเรียนเป็นอันดับต้นๆ ของโลก โดยวัดจากข้อมูลเชิงสถิติแล้ว ประเทศไทยเคยติดอยู่ในอันดับ 2 ของโลกเรื่องการท้องในวัยเรียน และนับเป็นอันดับ 1 ของภูมิภาคเอเชีย
ซึ่งปัญหาเหล่านี้ในวัยเรียน ก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการลาออกกลางคันระหว่างการศึกษา นอกเหนือไปจากปัญหาเรื่องการปรับตัว ปัญหาครอบครัว หรือการย้ายบ้านของทางครอบครัว
แต่เมื่อวันที่ 12 ต.ค. 2561 ที่ผ่านมานี้ กระทรวงศึกษาธิการได้ออกกฎใหม่ ที่มีเนื้อหาภายในว่า ห้ามโรงเรียนไล่นักเรียนที่ตั้งครรภ์ออกจากสถานศึกษา แต่ให้ย้ายโรงเรียนได้ โดยกฎนี้จะมีผลบังคับใช้ในอีก 180 วัน นับแต่นี้
โดยประกาศผ่านทาง เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา “กําหนดประเภทของสถานศึกษา และการดําเนินการของสถานศึกษาในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. 2561"
ซึ่งในนั้นเอง มีความตอนหนึ่งที่ระบุเอาไว้ว่า โรงเรียนระดับประถม มัธยม สถานศึกษาอาชีวศึกษา และ มหาวิทยาลัย ที่มีนักเรียนหรือนักศึกษาซึ่งตั้งครรภ์อยู่ในสถานศึกษา ต้องไม่ให้นักเรียนหรือนักศึกษานั้นออกจากสถานศึกษาดังกล่าว เว้นแต่เป็นการย้ายสถานศึกษา
ทั้งนี้ นักเรียนสามารถหยุดเรียนระหว่างการตั้งครรภ์ และหลังคลอด เพื่อดูแลบุตรได้ตามความเหมาะสม และสถานศึกษาต้องจัดการเรียนการสอนให้เกิดความยืดหยุ่นตามศักยภาพอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งนั่นก็หมายความว่า การท้องในวัยเรียนจะไม่ถูกนับเป็นปัจจัยที่ส่งผลทางตรงต่อการลาออกกลางคันระหว่างการศึกษาอีกต่อไปแล้ว ด้วยกฎบังคับใช้ที่ระบุมาในตอนต้น และเด็กๆที่กำลังจะเกิดขึ้นมาก็จะไม่ต้องถูกมองเป็นข้อขัดขวางต่ออนาคตของนักเรียนอีกต่อไป
อย่างไรก็ดี กฎหมายที่ออกมาในข้อนี้ก็นับเป็นทางออกหนึ่งที่มีประเด็นที่น่าสนใจในหลายๆจุด ทั้งในเรื่องของการให้อนาคตทางการศึกษาต่อของเด็กที่ประสบปัญหาเหล่านี้
แต่สิ่งน่าแก้ไขที่สุดอาจจะไม่ใช่กฎหมายข้อนี้ที่เป็นเสมือนปลายทางเพื่อรองรับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น เพราะหากเรามองย้อนไปจนถึงต้นทางของปัญหานี้ ก็จะพบว่าจริงๆแล้ว ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นจากความล้มเหลวในการให้ความรู้แก่นักเรียนในเรื่องของเพศอย่างไม่ถูกต้อง และไม่เข้าใจ รวมไปถึงเรื่องของการคุมกำเนิด หรือการให้คำปรึกษาแก่เด็กในวัยที่กำลังอยากรู้อยากลอง สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่ควรจะรีบได้รับการแก้ไขเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการท้องแบบไม่ตั้งใจขึ้นมา ดีกว่าการมาแก้ปัญหาที่ปลายเหตุซึ่งกลายเป็นการแก้ปัญหาไม่รู้จบ และต้องแก้กันไปเรื่อยๆ
สุดท้ายนี้แม้ว่าการท้องในวัยเรียนจะไม่ใช่สิ่งที่เราควรจะมองว่าเป็นสิ่งที่ถูกที่ควรก็ตาม แต่เมื่อสิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นมาแล้ว เราก็ควรจะต้องจัดการกับปัญหาให้ได้อย่างดีที่สุด ไม่ใช่การรุมประณามและผลักไสคุณแม่วัยเด็กให้ออกไปจากสังคม กดดันด้วยคำพูดหรือกิริยา จนอาจนำไปสู่การตัดสินใจทำแท้งที่ไม่ถูกกฎหมาย หรือทำให้เด็กที่เกิดขึ้นมาถูกเลี้ยงดูในสภาพที่ไม่ดีเป็นต้นเหตุของปัญหาในอนาคตต่อไปอีก เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตามชีวิตที่กำลังจะเกิดมาก็คือ 1 ชีวิตเหมือนกับเรา และควรถูกปฏิบัติร่วมกันในฐานะมนุษย์เหมือนๆกันกับเรา แม้ว่าเค้าจะเกิดมาจากความไม่ตั้งใจก็ตาม