โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ทำไมมะกันจึงกลัว 5G ของหวาเว่ยนัก?

ไทยโพสต์

อัพเดต 11 ธ.ค. 2561 เวลา 17.01 น. • เผยแพร่ 11 ธ.ค. 2561 เวลา 17.01 น. • ไทยโพสต์

    บริษัทหวาเว่ย (华为) ซึ่งทำธุรกิจโทรคมนาคมระดับโลก เป็นเสมือนสัญลักษณ์แห่งอิทธิพลทางเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน     ไม่ต่างอะไรกับ Alibaba ที่มีแจ็ก หม่าเป็นผู้ก่อตั้ง และกลายเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ระดับโลกของจีน     ไม่ต้องสงสัยว่าบริษัทใหญ่ๆ ของจีนเหล่านี้มีความผูกพันกับรัฐบาลจีน หรือพรรคคอมมิวนิสต์ของจีนทั้งทางตรงและทางอ้อม      เพราะไม่ว่าคุณจะเป็นอภิมหาอำนาจด้านธุรกิจของจีนที่ยิ่งใหญ่เพียงใด ก็หนีไม่พ้นว่าจะต้องอยู่ใต้แนวทางที่กำหนดโดยทางการจีนไม่ว่าปักกิ่งจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม     จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เพิ่งมีการเปิดเผยว่าแจ็ก หม่าเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน      เพราะนั่นคือการแสดงความ "จงรักภักดี" ต่อพรรค ซึ่งมีความสำคัญต่อการดำรงอยู่และการขยับขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศของบริษัทจีนเหล่านี้     ดังนั้นเมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ ขอให้แคนาดาช่วยจับนางเมิ่งหว่านโจวที่มีตำแหน่งเป็นถึง Chief  Financial Officer (CFO) และเป็นทายาทของผู้ก่อตั้งหวาเว่ย จึงกลายเป็นเรื่องใหญ่     เพราะแปลว่าวอชิงตันต้องการจะแสดงให้จีนเห็นว่า ไม่มีใครจะใหญ่โตเกินการเล่นงานของวอชิงตันได้     อีกทั้งยังเป็นการแสดงให้เห็นชัดว่าสหรัฐฯ ต้องการจะใช้เธอเป็น "ตัวประกัน" เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองในเรื่องสงครามการค้า และประเด็นผลประโยชน์อื่นๆ ทั้งหลายได้ทุกขณะ     หวาเว่ยถูกมองว่าเป็น "ภัยคุกคาม" สำหรับหลายประเทศในตะวันตก รวมถึงญี่ปุ่นที่มีความสงสัยว่ารัฐบาลจีนได้ใช้เทคโนโลยีของบริษัทไฮเทคจีน เช่น 5G เพื่อทำจารกรรมต่อประเทศอื่นๆ     หวาเว่ยปฏิเสธเรื่องนี้มาตลอด แต่ก็ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด อีกทั้งยังถูก "เตะขา" หลายเรื่อง     เช่นเดือนมกราคมปีนี้ หวาเว่ยเกือบจะได้ซื้อธุรกิจมือถือของ AT&T ในสหรัฐฯ แต่ก็ถูกทางการสหรัฐฯ สกัดไม่ยอมให้มีการทำข้อตกลงกันได้     เพราะอเมริกากลัวว่าหากยอมให้หวาเว่ยกระจายอิทธิพลทางด้านไอทีเข้าไปในอเมริกา ก็เท่ากับเป็นการเปิดทางให้รัฐบาลจีนสามารถล้วงความลับทางราชการผ่านระบบไซเบอร์ของบริษัทโทรคมนาคมจีนได้     หวาเว่ยปฏิเสธข้อกล่าวหานี้มาตลอด แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความสงสัยคลางแคลงประเด็นนี้ลดน้อยถอยลงแต่อย่างใด     ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ หน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ หลายแห่งออกข่าวเป็นทางการ บอกให้ประชาชนอย่าได้ใช้โทรศัพท์มือถือของหวาเว่ย เพราะอาจตกเป็นเหยื่อของการไล่ล่าหาข้อมูลที่รัฐบาลจีนต้องการ     เจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ให้การต่อคณะกรรมาธิการข่าวกรองของวุฒิสภาว่า หวาเว่ยและ ZTE ซึ่งเป็นบริษัทมือถือยักษ์อีกแห่งหนึ่งของจีนเป็น "ภัยคุกคามต่อความมั่นคง" ของสหรัฐฯ     ต่อมาไม่นานบริษัท Best Buy ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่แห่งที่คนอเมริกันจะหาซื้อมือถือที่มาจากเมืองจีนได้ที่สหรัฐฯ ก็ประกาศเลิกขายอุปกรณ์ของหวาเว่ย     ในช่วงเดียวกันนั้นเอง เจ้าหน้าที่ข่าวกรองของอังกฤษก็ออกมาเตือนว่า หวาเว่ยมีระบบวิศวกรรมที่ส่อไปในทางทำให้เครือข่ายโทรคมนาคมของอังกฤษ "เกิดความเสี่ยง" ได้     และบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติอังกฤษ British Telecom (BT) ก็ตามมาด้วยคำประกาศว่าจะไม่ซื้ออุปกรณ์ของหวาเว่ยสำหรับระบบไร้สายของตนอีกต่อไป     แสดงว่าที่ผ่านมา บริษัทจีนแห่งนี้สามารถสร้างระบบและอุปกรณ์โทรคมนาคมทันสมัยระดับสากล  ถึงขั้นที่ทั้งสหรัฐฯ และอังกฤษต้องหันมาใช้กันอย่างกว้างขวาง ก่อนที่จะเกิดความสงสัยว่าน่าจะเกิดปัญหาขึ้นมาแล้ว     ที่ผมเข้าใจอย่างนี้เพราะ BT บอกว่าจะโละเทคโนโลยีของหวาเว่ยจากเครือข่าย 4G ของตนภายใน 2 ปี     แปลว่าที่ผ่านมาทั้งสหรัฐฯ และอังกฤษต้องพึ่งพาเทคโนโลยีด้านนี้ของจีนอย่างมากแล้วโดยที่ไม่ค่อยจะเป็นข่าวนัก     ตามมาด้วยรัฐบาลออสเตรเลียที่ประกาศห้ามหวาเว่ยขายเทคโนโลยี 5G ให้เครือข่ายไร้สายของประเทศนั้น     ด้วยความกลัวว่าออสเตรเลียเองไม่มีเทคโนโลยีป้องกันการแทรกแซง หรือการเข้าถึงข้อมูลที่เป็นความลับจากบริษัทจีนแห่งนี้ได้     หวาเว่ยออกแถลงการณ์ตอนนั้นว่า การตัดสินใจของทางการออสเตรเลียเรื่องนี้ได้สร้าง "ความผิดหวังอย่างแรงต่อผู้บริโภค"     หวาเว่ยบอกว่าอุปกรณ์ของตนเป็นที่ไว้วางใจของลูกค้าใน 170 ประเทศ อีกทั้ง 46 จาก 50 บริษัทโทรคมนาคมใหญ่ๆ ของโลกก็ใช้อุปกรณ์ของตนโดยไม่มีปัญหา     สหรัฐฯ ได้บอกกล่าวกับพันธมิตรตนเอง เช่น เยอรมนี, อิตาลี และญี่ปุ่นให้สกัดกั้นหวาเว่ยในทำนองเดียวกัน     ดังนั้น การที่อเมริกาสั่งจับทายาทของผู้ก่อตั้งหวาเว่ยที่แคนาดาเมื่อสัปดาห์ก่อนจึงกลายเป็นจุดหักเหที่สำคัญ     ที่ว่าสำคัญเพราะการตัดสินใจเช่นนี้ของวอชิงตัน เท่ากับเป็นการเปิดศึกกับรัฐบาลจีนในขณะที่เทคโนโลยีจีนล้ำหน้ากว่าของตะวันตก     ลองวาดภาพว่าหากเกิดสงคราม Cyber War ระหว่างจีนกับตะวันตก ใครจะเป็นฝ่ายได้เปรียบวันนี้?     ตอบคำถามนี้ได้ก็เกิดความกระจ่างว่าทำไมวันนี้สหรัฐฯ จึงกลัวจีนนัก!  

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0