โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

ทำบุญหวังผล ได้บุญจริงหรือ?

TheHippoThai.com

เผยแพร่ 26 มิ.ย. 2561 เวลา 01.00 น.

 ทำบุญหวังผลได้บุญจริงหรือ?

 ในสภาวะสังคมที่วุ่นวาย (ระดับหนึ่ง) ของบ้านเรา การงานและชีวิตที่เร่งรีบในสังคมเมือง ทำให้หลายๆคน ตกอยู่ในความเครียด สารพัดปัญหารุมเร้าจนแทบจะกลายเป็น Trend ของยุคที่ใครไม่มีปัญหาชีวิตดูจะไม่มี Story และไม่ Cool พอ ใน พ.ศ. นี้ (จะดีเหรอ ?) สาเหตุนี้ทำให้หลายคนต้องแสวงหาความสงบด้วยการหันหน้าเข้าหาวัด ทำบุญทำทาน เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ 

แต่ก็ไม่พ้นข่าว (คาว) ของวงการศาสนาที่ตบเท้าเข้ามาตอกย้ำความน่าเชื่อถือ และสร้างความสงสัยว่า ที่เราทำบุญทำทานกันไปนั้น เป็นเพราะการตลาดที่ดีของพุทธพาณิชย์  หรือเพียงเพราะเราอยากทำให้ตัวเองรู้สึกดีเท่านั้น ที่สำคัญที่สุดคือการทำบุญทำทานที่เราปฏิบัติไป เพื่อหวังให้ชีวิตดีขึ้น เพื่อหวังผลอะไรบางอย่างนั้น จะได้เนื้อนาบุญจริงหรือ ? เราจึงขอแสวงหาคำตอบของข้อสงสัยยอดนิยมนี้มาฝากคุณผู้อ่านทุกท่านกันในวันนี้

“ผลของการทำบุญทำทาน” จากพระไตรปิฎก”

ช้าก่อนนนน  !! คุณผู้อ่านบางท่านเห็นเราจั่วหัวคำว่า “พระไตรปิฎก” ขึ้นมา ก็คงจะเตรียมตัวปูเสื่อนอน เพราะคิดว่าเราจะต้องตอบด้วยธรรมะยากๆ แน่นอน แต่อย่ากระนั้นเลย ถ้าจะตอบปัญหาเรื่องนี้ด้วยการไปฟังความเห็นคนโน้นทีคนนี้ทีแล้วนำมาเล่าให้คุณผู้อ่านฟัง ก็คงจะไม่ชัดเจนเท่าการเปิดพระไตรปิฎก ค้นธรรมะที่พระพุทธเจ้าของเรายกให้เป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจของเราหลังจากพระองค์ปรินิพพานมาตอบคำถามนี้จริงไหมเล่า ?

สำหรับเรื่องของการทำบุญทำทานนั้นปรากฏอยู่ในพระสุตตันตปิฎกอังคุตตรนิกายสัตตกนิบาตมหายัญญวรรคที่5 ทานสูตรที่9  (อ้างอิงเฉยๆ นะจ๊ะอย่าเพิ่งหนีกัน) ซึ่งได้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่พระสารีบุตร พร้อมด้วยชาวเมืองจัมปานคร ได้ทูลขอพระพุทธเจ้าให้ทรงแสดงธรรมในวันพระ ณ บริเวณที่ประทับ คือสระโบกขรณีใกล้จัมปานครนั้น ถึงผลของการทำบุญทำทาน ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงวิสัชนาไว้ว่า 

“…ดูกรสารีบุตรทานเช่นนั้นนั่นแลที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้วมีผลมากไม่มีอานิสงส์มากพึงมีและทานเช่นนั้นนั่นแลที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้วมีผลมากมีอานิสงส์มากพึงมีฯ

นั่นหมายความว่าการทำบุญทำทานนั้นให้ผลและอานิสงส์แตกต่างกันในบางครั้งและได้ทรงอธิบายถึงอานิสงส์ที่แตกต่างกันไปนั้นว่าเกิดจากการทำบุญทำทานด้วยสาเหตุต่างๆจะทำบุญทำทานหวังผลหรือไม่นั้นก็ได้รับอานิสงส์ทั้งสิ้นแต่ว่าได้มากหรือได้น้อยเท่านั้นเอง! 

ทำบุญทำทานเพื่อหวังจะได้รับผลบุญเมื่อตายไป

  “…ในการให้ทานนั้นบุคคลมีความหวังให้ทานมีจิตผูกพันในผลให้ทานมุ่งการสั่งสมให้ทานให้ทานด้วยคิดว่าตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้วเมื่อตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมหาราชสิ้นกรรมสิ้นฤทธิ์สิ้นยศหมดความเป็นใหญ่แล้วยังเป็นผู้กลับมาคือมาสู่ความเป็นอย่างนี้…”

วิสัชนาถึงอานิสงส์ของการทำบุญทำทานประเภทแรกของพระพุทธเจ้า ก็คือการทำบุญทำทานด้วยการหวังผลว่าจะได้รับผลบุญเมื่อตายไป การทำบุญด้วยความตั้งใจอย่างนี้นั้น เมื่อตายไปจะได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นแรกสุด และเมื่อหมดแต้มบุญแล้ว ก็ยังต้องรีเทิร์นกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกนะจ๊ะ

ทำบุญทำทานโดยคิดว่าเพราะเป็นเรื่องที่ดี 

“…ในการให้ทานนั้นบุคคลไม่มีความหวังให้ทานไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทานไม่มุ่งการสั่งสมให้ทานไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่าตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้แต่ให้ทานด้วยคิดว่าทานเป็นการดีเขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้วเมื่อตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดาวดึงส์เขาสิ้นกรรมสิ้นฤทธิ์สิ้นยศหมดความเป็นใหญ่แล้วยังเป็นผู้กลับมาคือมาสู่ความเป็นอย่างนี้ฯ…”

วิสัชนาถึงอานิสงส์ของการทำบุญประเภทที่สองของพระพุทธเจ้า ก็คือการทำบุญทำทานโดยไม่หวังผลเมื่อตายไป ไม่ได้คิดจะเก็บแต้มบุญไว้ใช้ต่อ แต่ทำเพราะรู้สึกว่าเป็นเรื่องดีจึงทำ การทำบุญด้วยความตั้งใจอย่างนี้นั้น เมื่อตายไปจะได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นที่สูงขึ้นมาอีก แต่เมื่อหมดแต้มบุญแล้ว ก็ยังต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกเช่นกัน

ทำบุญทำทานเพื่อรักษาประเพณีที่บรรพบุรุษปฏิบัติกันมา

“…บุคคลบางคนในโลกนี้ฯลฯไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่าทานเป็นการดีแต่ให้ทานด้วยคิดว่าบิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้เคยทำมาเราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณีเขาให้ทานคือข้าวฯลฯย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นยามาเขาสิ้นกรรมสิ้นฤทธิ์สิ้นยศหมดความเป็นใหญ่แล้วยังเป็นผู้กลับมาคือมาสู่ความเป็นอย่างนี้ฯ…”

สำหรับอานิสงส์ประเภทที่สามที่พระพุทธเจ้าได้แสดงไว้ก็คือ การทำบุญทำทานด้วยการคิดว่าปู่ย่าตายายเราทำๆกันมา ก็รักษาไว้อย่าให้เสียนั้น เมื่อตายไปแล้วแต้มบุญชนิดนี้จะส่งไปให้เกิดในสวรรค์ชั้นที่สูงกว่าดาวดึงส์อีกหนึ่ง Level ก็คือไปเกิดเป็นเทวดาชั้นยามา (ภาษาไทยนี่แหละ ไม่ใช่ภาษาญี่ปุ่นใดๆ !) และเช่นเคย เมื่อหมดแต้มบุญแล้วก็ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก

ทำบุญทำทานเพื่ออุปถัมภ์ค้ำชูสมณะพราหมณ์

“…บุคคลบางคนในโลกนี้ฯลฯไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่าบิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้เคยทำมาเราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณีแต่ให้ทานด้วยคิดว่าเราหุงหากินสมณะและพราหมณ์เหล่านี้ไม่หุงหากินเราหุงหากินได้จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ผู้ไม่หุงหาไม่สมควรเขาให้ทานคือข้าวฯลฯย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดุสิตเขาสิ้นกรรมสิ้นฤทธิ์สิ้นยศหมดความเป็นใหญ่แล้วยังเป็นผู้กลับมาคือมาสู่ความเป็นอย่างนี้ฯ…”

อานิสงส์ประเภทที่สี่นั้น เริ่มแสดงให้เห็นว่าการได้แต้มบุญมากแต้มบุญน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับว่าเราทำบุญทำทานกับใครด้วย นั่นคือ การทำบุญทำทานเพื่ออุปถัมภ์ค้ำชูสมณะพราหมณ์ต่างๆ โดยไม่ได้เป็นการทำเพราะรักษาประเพณีที่ปฏิบัติกันมา ก็จะให้อานิสงส์แรงขึ้นไปอีก สามารถ Level up ไปเกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ชั้นดุสิต ที่สูงยิ่งขึ้นกว่าชั้นยามาเมื่อตายไป แต่ก็ยังคงต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดเมื่อหมดแต้มบุญด้วยเช่นกัน

ทำบุญทำทานอย่างฤๅษีทำพิธีบูชายัญ

“…บุคคลบางคนในโลกนี้ฯลฯไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่าเราหุงหากินได้สมณะและพราหมณ์เหล่านี้หุงหากินไม่ได้เราหุงหากินได้จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ผู้หุงหากินไม่ได้ไม่สมควรแต่ให้ทานด้วยคิดว่าเราจักเป็นผู้จำแนกแจกทานเหมือนฤาษีแต่ครั้งก่อนคืออัฏฐกฤๅษีวามกฤๅษีวามเทวฤๅษีเวสสามิตรฤๅษียมทัคคิฤๅษีอังคีรสฤๅษีภารทวาชฤๅษีวาเสฏฐฤๅษีกัสสปฤๅษีและภคุฤๅษีบูชามหายัญฉะนั้นเขาให้ทานคือข้าวฯลฯย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นนิมมานรดีเขาสิ้นกรรมสิ้นฤทธิ์สิ้นยศหมดความเป็นใหญ่แล้วยังเป็นผู้กลับมาคือมาสู่ความเป็นอย่างนี้ฯ…”

อานิสงส์ประเภทถัดมานั้น ค่อนข้างจะมีความเปรียบเทียบที่เก๋ไก๋อยู่ไม่น้อย ด้วยพระพุทธเจ้าทรงอธิบายว่า การทำบุญทำทาน ที่ไม่ใช่เพียงเพราะต้องการจะอุปถัมภ์ค้ำชูสมณะชีพราหมณ์ แต่ทำเพราะแสวงหาความสงบ ละทางโลก และทำบุญทำทานเสมือนเหล่าฤๅษีที่ถวายเครื่องบูชายัญต่อพระเป็นเจ้า จะทำให้ได้อานิสงส์สูงขึ้นด้วยการไปเกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ชั้นนิมมานรดี ซึ่งเป็นชั้นสูงขึ้นไปยิ่งกว่าดุสิตอีก แต่ก็เช่นเคย เมื่อแต้มบุญหมดก็ยังต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดกันต่อไป

การทำบุญทำทานเพราะทำให้เกิดความรู้สึกปิติยินดี

“…บุคคลบางคนในโลกนี้ฯลฯไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่าเราจักเป็นผู้จำแนกแจกทานเหมือนอย่างฤาษีแต่ครั้งก่อนคืออัฏฐกฤๅษีฯลฯและภคุฤๅษีแต่ให้ทานด้วยคิดว่าเมื่อเราให้ทานอย่างนี้จิตจะเลื่อมใสเกิดความปลื้มใจและโสมนัสเขาให้ทานคือข้าวฯลฯย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดีเขาสิ้นกรรมสิ้นฤทธิ์สิ้นยศหมดความเป็นใหญ่แล้วยังเป็นผู้กลับมาคือมาสู่ความเป็นอย่างนี้ฯ…”

มาถึงอานิสงส์ของการทำบุญทำทานประการที่หกที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ นั่นก็คือการทำบุญทำทานเพราะทำให้เกิดความรู้สึกปิติยินดี ซึ่งนับว่าให้แต้มบุญที่สูงมาก เพราะจะทำให้ได้รับ Direct Flight ไปสู่สวรรค์ชั้นสูงสุดเลย นั่นก็คือ สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี แต่ถึงแม้จะเป็นชั้นสูงสุดแล้ว เมื่อหมดแต้มบุญก็ยังต้องลงมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไปเช่นกัน

 การทำบุญทำทานเพื่อให้เป็น “เครื่องปรุงแต่งจิต” 

“…ในการให้ทานนั้นบุคคลผู้ไม่มีความหวังให้ทานไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทานไม่มุ่งการสั่งสมให้ทานไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่าเราตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่าการให้ทานเป็นการดีไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่าบิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้เคยทำมาเราไม่ควรทำให้เสียประเพณีไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่าเราหุงหากินได้สมณะหรือพราหมณ์เหล่านี้หุงหากินไม่ได้จะไม่ให้ทานแก่ผู้ที่หุงหากินไม่ได้ไม่สมควรไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่าเราจักเป็นผู้จำแนกแจกทานเหมือนอย่างฤาษีแต่ครั้งก่อนคืออัฏฐกฤๅษีวามกฤๅษีวามเทวฤๅษีเวสสามิตรฤๅษียมทัคคิฤๅษีอังคีรสฤาษีภารทวาชฤๅษีวาเสฏฐฤๅษีกัสสปฤๅษีและภคุฤๅษีผู้บูชามหายัญฉะนั้นและไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่าเมื่อเราให้ทานนี้จิตจะเลื่อมใสจะเกิดความปลื้มใจและโสมนัสแต่ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิตเขาให้ทานเช่นนั้นแล้วเมื่อตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นพรหมเขาสิ้นกรรมสิ้นฤทธิ์สิ้นยศหมดความเป็นใหญ่แล้วเป็นผู้ไม่ต้องกลับมาคือไม่มาสู่ความเป็นอย่างนี้…”

และแล้วก็มาถึงรอบ Final Walk กันแล้ว ด้วยการทำบุญทำทานที่มีอานิสงส์สูงสุด นั่นก็คือการทำบุญทำทานตามเหตุทั้งหกข้อที่กล่าวมาแล้ว นั่นก็คือการทำบุญทำทานเพื่อเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต (งงเด้ งงเด้ !) อย่างเพิ่งงงไป การทำบุญทำทานเพื่อเป็นเครื่องปรุงแต่งจิตนั้นหมายความว่า เป็นการทำบุญทำทานเพื่อละซึ่งกิเลสขัดเกลาจิตใจให้ควรแก่การเจริญสมถะและวิปัสสนาจนในที่สุดทำไปสู่การเจริญปัญญาบรรลุมรรคผล
นั่นหมายความว่าทั้งหกข้อที่กล่าวมาแล้ว เป็นการทำบุญทำทานโดยให้ผลมาก คือได้ไปเสวยสุขบนสวรรค์ แต่ไม่ได้มีอานิสงส์มาก เหมือนกับการทำบุญทำทานเพื่อละกิเลส ไม่หวังซึ่งผลใดๆ อันจะทำให้เกิดภาวะของจิตใจที่สามารถฝึกให้หลุดพ้น และ Unlock Skill ต่างๆไปสู่นิพพานนั่นเอง !

แต่ทั้งนี้จะเรียกว่าเป็นการทำบุญทำทานที่เกิดอานิสงส์ได้ก็ต่อเมื่อการทำบุญทำทานนั้นเป็นกุศลฉันทะคือเป็นไปเพื่อหวังผลในทางที่ดีไม่ใช่ด้วยความโลภอยากได้อยากมีเช่นทำบุญเพื่อหวังจะให้เค้ามารัก(บางครั้งเค้ามีเจ้าของแล้วด้วย!) แบบนี้ส่งผลให้ผิดศีลได้ไม่นับแต้มนะจ๊ะ!

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0