โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ทำความเข้าใจ 3 พ.ร.ก.เยียวยาโควิด ‘1.9 ล้านล้าน’ เข้าสภาวันนี้

กรุงเทพธุรกิจ

อัพเดต 27 พ.ค. 2563 เวลา 03.42 น. • เผยแพร่ 27 พ.ค. 2563 เวลา 00.18 น.

การประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้(27 พฤษภาคม2563) จะมีการพิจารณาวาระเรื่องสำคัญของพ.ร.ก.เยียวยาผลกระทบจากCOVID-19 ทั้งหมด3 ฉบับวงเงิน1.9 ล้านล้านบาทรวมถึงพ.ร.ก.ประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์(ประชุมทางไกล) และร่างพ.ร.บ.โอนงบ8.8 หมื่นล้านบาทมาช่วยเยียวยาผลกระทบจากCOVID-19

“กรุงเทพธุรกิจออนไลน์” จะมาเจาะลึกพ.ร.ก.เยียวยาผลกระทบจากCOVID-19 ทั้งหมด3 ฉบับวงเงิน1.9 ล้านล้านบาทกันก่อนโดยที่ผ่านมาเมื่อวันที่7 เมษายน2563 ครม.มีมติเห็นชอบมาตรการแก้ไขปัญหาและบรรเทาผลกระทบที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ดังกล่าวนี้ซึ่งนับเป็นมาตรการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจชุดที่3 แล้ว

โดยพ.ร.ก.เยียวยาผลกระทบจากCOVID-19 วงเงิน1.9 ล้านล้านบาทประกอบด้วย

1.พ.ร.ก.กู้เงินเพื่อการเยียวยาและดูแลเศรษฐกิจวงเงิน1 ล้านล้านบาทประกอบด้วย2 มาตรการย่อยคือ

1.1 แผนงานสาธารณสุขและแผนงานเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบเยียวยาประชาชน6 เดือนเยียวยาเกษตรกรและดูแลด้านสาธารณสุขวงเงินรวม6 แสนล้านบาท

1.2 แผนงานฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมโดยครอบคลุมโครงการดูแลสนับสนุนเศรษฐกิจในพื้นที่ได้แก่สนับสนุนและสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจชุชนและสนับสนุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในระดับพื้นที่วงเงินรวม4 แสนล้านบาท

2.พ.ร.ก.ให้อำนาจธนาคารแห่งประเทศไทยออกSoft Loan เพื่อดูแลภาคธุรกิจโดยเฉพาะSMEs วงเงิน5 แสนล้านบาทประกอบด้วย2 มาตรการย่อยได้แก่

2.1 สินเชื่อใหม่5 แสนล้านบาทอัตราดอกเบี้ย2% สำหรับSMEs ที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน500 ล้านบาทวงเงินรวม5 แสนล้านบาท

2.2 ธพ. และSFIs พักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยระยะเวลา6 เดือนให้SMEs ที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน100 ล้านบาท

3.พ.ร.ก.ดูแลเสถียรภาพภาคการเงินวงเงิน4 แสนล้านบาทโดยตั้งกองทุนรวมCorporate Bond Liquidity stabilization Fund หรือBSF และให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ซื้อขายหน่วยลงทุนในกองทุนดังกล่าว

159049027065
159049027065

ทั้งนี้เพื่อให้เข้าใจพ.ร.ก.เยียวยาผลกระทบจากCOVID-19 ทั้งหมด3 ฉบับนี้ง่ายๆ ขอนำคำอธิบายของ "แพรตริเซียมงคลวนิช"ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.) ที่ชี้แจงผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัวเกี่ยวกับพ.ร.ก.กู้เงินฉุกเฉินของรัฐบาลผ่าน 6 ประเด็นคำถามที่น่าสนใจดังนี้

1.รัฐบาลกู้1.9 ล้านล้านบาทจริงเหรอ?

คำตอบคือ ไม่จริง พ.ร.ก.ที่รัฐบาลออกมา มีอยู่ 3 ฉบับ แบ่งเป็น 1. พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท 2. พ.ร.ก.Softloan 500,000 ล้านบาท และ 3. พ.ร.ก.Bond Stabilization Fund BSF 400,000 ล้านบาท

แม้ว่าถ้าบวกกันจะมีมูลค่ารวม 1.9 ล้านล้านบาท แต่มีเพียง พ.ร.ก.ฉบับที่ 1 ฉบับเดียวเท่านั้นที่จะใช้เงินกู้ ส่วนอีก 2 ฉบับ เป็นการใช้สภาพคล่องของ ธปท. ดังนั้น การบอกว่ารัฐบาลกู้เงิน 1.9 ล้านล้านบาท เป็นการเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง

2.รัฐบาลจะกู้เงินจากที่ไหน?

คำตอบคือ รัฐบาลมีเครื่องมือในการกู้เงินทั้งเครื่องมือระยะยาว เช่น การขายพันธบัตร ตั้งแต่อายุ 5-50 ปีให้นักลงทุนสถาบัน การขายพันธบัตรออมทรัพย์ให้ประชาชน การกู้จากองค์การระหว่างประเทศหรือสถาบันการเงินระหว่างประเทศ และเครื่องมือระยะสั้น เช่น การออกตั๋วเงินคลัง การกู้เงินผ่านสถาบันการเงินในรูป PN หรือ Term loan ซึ่งภายใต้ พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาทนี้ ก็จะกระจายการกู้เงินไม่ให้กระจุกตัวอยู่ในเครื่องมือใดเครื่องมือนึงเป็นการเฉพาะ

3.รัฐบาลกู้เงินมา 1 ล้านล้านบาทแล้วหรือยัง?

คำตอบคือ ยังไม่ได้กู้​ รัฐบาลจะทยอยกู้เงินตามความต้องการใช้เงิน ซึ่งในขณะนี้มีเพียง 2 โครงการเท่านั้น ที่ได้รับอนุมัติให้ใช้เงินกู้ คือ การเยียวยาประชาชน และเกษตรกร

โดยเมื่อวันที่ 16 พ.ค.2563 ได้ทำการกู้เงินไปแล้ว 170,000 ล้านบาท ผ่านตั๋วสัญญาใช้เงินและพันธบัตรออมทรัพย์ เครื่องมืออื่นจะทยอยตามมา

4.จำเป็นต้องกู้ทั้ง 1 ล้านล้านบาทไหม?

คำตอบคือ อาจจะไม่จำเป็น ทั้งนี้จะต้องกู้เป็นจำนวนเท่าไร ขึ้นอยู่กับความจำเป็นในการใช้เงิน ถ้า COVID-19 ทำให้เศรษฐกิจฟุบนาน งบประมาณปี 2564 ใช้ไม่เพียงพอในการดูแลประชาชนและเศรษฐกิจ ก็อาจจะต้องกู้จนครบจำนวน 1 ล้านล้านบาท แต่ถ้าพวกเราช่วยกันแล้วคุมโรคอยู่ ทุกๆ อย่างค่อยๆ ผ่อนคลาย เศรษฐกิจเริ่มหมุน คนกลับมามีรายได้ เงินงบประมาณ 2564 ดูแลได้อย่างเพียงพอ ก็อาจจะไม่ต้องกู้จนครบ 1 ล้านล้านบาทก็เป็นได้

5.เมื่อกู้ครบ 1 ล้านล้านบาทแล้ว สภาวะหนี้ของรัฐบาลจะเป็นอย่างไร?

คำตอบคือ จากการประมาณการ หากต้องกู้เงินครบ 1 ล้านล้านบาท ภายใน 30 กันยายน 2564 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่จะสามารถกู้ได้ตาม พ.ร.ก.ฉบับนี้ คาดว่าหนี้สาธารณะของไทย ณ 30 กันยายน 2564 จะอยู่ที่ 57.96% ของ GDP ซึ่งยังอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลังที่ประกาศกำหนด Debt / GDP ไว้ที่ 60%

อย่างไรก็ดี Debt/GDP ที่ระดับ 60% นี้ เป็นระดับหนี้พึงมีในสภาวการณ์เศรษฐกิจที่ปกติ แต่ในสภาวการณ์ที่ไม่ปกติ หากมีความจำเป็นต้องมีเงินเพื่อดูแลประชาชนและเศรษฐกิจเพื่อให้เดินต่อไปได้ และสามารถกลับสู่สภาวะปกติโดยเร็ว และอาจทำให้หนี้สาธารณะเกินระดับ 60% ไปบ้างก็ไม่ใช่เรื่องที่โลกจะถล่ม ประเทศจะทลาย ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจกลับมาเจริญเติบโต สัดส่วนดังกล่าวก็จะกลับมาอยู่ในภาวะปกติ

สมัยวิกฤติต้มยำกุ้ง เป็นช่วงที่หนี้สาธารณะสูงที่สุด คือ 59.9% และเมื่อเศรษฐกิจดีขึ้นประกอบกับการมีวินัยในเรื่องหนี้ที่ดี ทำให้ในปัจจุบันหนี้สาธารณะอยู่ในระดับเพียง 41.4% ของ GDP

6.หนี้ก้อนนี้เมื่อไรจะใช้หมด?

คำตอบคือ อายุเฉลี่ยของหนี้สาธารณะในปัจจุบันอยู่ที่ 10 ปีกว่าๆ โดยหนี้ที่อายุยาวที่สุดคืออายุ 50 ปี ทั้งนี้ ในการชำระหนี้ รัฐบาลได้ตั้งงบประมาณเพื่อชำระหนี้ไว้ในงบประมาณทุกปี ซึ่งจากการศึกษาพบว่า​ อัตราการชำระหนี้ที่เหมาะสมในแต่ละปี ควรจะจัดสรรงบประมาณไม่ต่ำกว่า 3% ของงบประมาณ เพื่อใช้ในการชำระเงินต้น

ดังนั้น​ การจะตอบว่าประเทศไทยจะชำระหนี้ก้อนนี้หมดเมื่อไร มันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย คงไม่สามารถตอบเป็นจำนวนปีที่ชัดเจนได้ อย่างไรก็ดี หากเศรษฐกิจดี ประเทศไทยจัดเก็บรายได้ได้มากขึ้น และได้รับการจัดสรรงบชำระหนี้อย่างเหมาะสม จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยทำให้ชำระหนี้ก้อนนี้ให้หมดได้เร็วขึ้น

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0