โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

ทำความรู้จักไวรัสโควิด-19 มากขึ้น พร้อมเรียนรู้วิธีใช้ชีวิตให้ปลอดภัยช่วงแพร่ระบาดโรค

Businesstoday

เผยแพร่ 06 เม.ย. 2563 เวลา 07.00 น. • Businesstoday
ทำความรู้จักไวรัสโควิด-19 มากขึ้น พร้อมเรียนรู้วิธีใช้ชีวิตให้ปลอดภัยช่วงแพร่ระบาดโรค

นายวิษณุ ตัณฑวิรุฬห์
เปิดเผยว่า ไวรัส Covid-19 นี้เริ่มระบาดที่ เมือง “อู่ฮั่น” ซึ่งมีประชากรอยู่ 11 ล้านคน(ขนาดไล่เลี่ยกับ กรุงเทพเรา) ถือเป็นเมืองใหญ่สุดในภาคกลางของจีน
อยู่มณฑลหู่เป่ย (เรือดำน้ำของไทยเรา
ก็มาสร้างกันที่อู่ต่อเรือในเมืองนี้ คาดว่าตอนนี้ทีมงานตรวจรับของทหารเรือ
กำลังเดินทางกลับไป “อู่ฮั่น” เพื่อดำเนินการตรวจรับ(ต่อ)
เพียงแต่ตอนกลับไป ก็ต้องถูกกักตัวที่นั่น 14 วัน ก่อน
ถึงจะให้เข้าเมือง ครับ)

“จีน” ตรวจไวรัสนี้เจอครั้งแรกจาก
ชายอายุ 55 ปี เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน
ของปีที่แล้ว(คาดว่าน่าจะติดเชื้อก่อนหน้านั้น ราวอาทิตย์หนึ่ง หรือประมาณ วันที่ 10
ครับ)

หลังตรวจเจอ รัฐบาลจีนรอเดือนกว่าๆ ถึงประกาศอย่างเป็นทางการในวันสิ้นปี
2019 (31 ธันวาคม) ยังไงก็ตามช่วงเวลาที่หายไป
ยังไม่ประกาศ หรือ ปิดเมืองนั้น เปิดโอกาสให้ผู้ที่ติดเชื้อบางคนหลุดรอดออกมา และ
แพร่กระจายเชื้อนี้ไปทั่วโลก

สิ่งสำคัญสุด คือ ตอนนี้ “จีน” เอง ยังตามหา “คนไข้หมายเลขศูนย์”(Patient
Zero) ไม่เจอเลย!! (“Patient Zero” หรือ “คนไข้หมายเลขศูนย์” คือ
มนุษย์คนแรกที่ได้รับเชื้อพาหะอื่น ไม่ว่าจะเป็น ค้างคาว งู ลิง ต่างๆ และ
ทำหน้าที่เป็นพาหะแพร่กระจายเข้าสู่มนุษย์ คนไข้ที่ตรวจเจอเชื้อคนแรก อาจจะไม่ใช่ “คนไข้หมายเลขศูนย์” ก็ได้

“คนไข้หมายเลขศูนย์” ที่ดังสุด มาจากตอนแพร่ระบาดของโรคเอดส์(HIV) ชื่อ “Gaëtan
Dugas” ชายชาวแคนาดาเชื้อสายฝรั่งเศส มีอาชีพเป็น “สจ๊วต” ต้องเดินทางบินไปมาอยู่ตลอด เค้าเป็นคนที่ Active
ในการหาคู่นอนมากๆ ประมาณกันว่า มีคู่ขาเกย์ตามเมืองต่างๆ ร่วม 2,500
คน ทำให้โรคเอดส์ในตอนนั้นกระจายตัวรวดเร็วเกินกว่า
โรคเพศสัมพันธ์อื่นๆ) เมื่อยังไม่เจอ “คนไข้หมายเลขศูนย์”
มันเลยทำให้เกิด “ทฤษฏีสมคบร่วมคิด”(Conspiracy
Theory) ที่คิดเอาเองว่า Covid-19 เป็นอาวุธชีวภาพที่หลุดออกมาห้องแล๊ป
เพื่อไม่ให้เป็น Fake News เลยขอเว้นไม่เขียนถึง

Covid-19 คือ อะไร

ชื่อเต็มๆ คือ “Severe Acute Respiratory Syndrome Coronavirus 2 หรือย่อว่า SARS-CoV-2) แปลจากชื่อตรงๆ หมายถึง “ไวรัส Corona 2 ที่ส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจอย่างเฉียบพลันและรุนแรง”
แต่มีชื่อเรียกสั้นๆว่า Covid-19 เพราะเขาเกิดในปี
ค.ศ. 2019 เป็น “ไวรัส” ที่ขยายพันธ์ได้เฉพาะใน “นก” หรือ
“สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม” ซึ่งรวมถึงมนุษย์เราด้วย

คำว่า “Corona” นั้นแปลว่า “มงกุฏ” เป็นการบรรยายถึงรูปร่างที่มีปุ่มคล้ายมงกุฏ(ตามรูป)
ยื่นออกมาที่จริงแล้ว Covid-19 เป็นน้องสุดท้องคนที่ 7
ของครอบครัวไข้หวัดพี่คนโตสุดจนถึงคนที่ 4 คือ
“ไข้หวัดธรรมดา” ส่วนพี่คนที่ 5
คือ SARS ที่เกิดในมณฑลกวางตุ้ง เมื่อ ค.ศ. 2003
หรือ 17 ปีมาแล้ว พี่คนรองสุดท้ายที่ 6
ชื่อ MERS เขาเกิดที่ “ซาอุดิอาระเบีย”
8 ปีที่แล้ว (ค.ศ. 2012) โดยมีต้นกำเนิดมาจาก “อูฐ” ครับ

“Covid-19” ที่เป็นน้องสุดท้องนั้นยังร้ายกาจสู้พี่ชายทั้ง
2 คนไม่ได้ โดยเฉพาะพี่ MERS ร้ายสุด
สามารถปลิดชีพผู้ติดเชื้อได้สูงถึง 30% ส่วนพี่ SARS นั้นก็ใช่ย่อย ฆ่าได้ 1/10คน

สำหรับน้องสุดท้อง Covid-19 นั้น ติดเชื้อ100 คน ตายจิ้บๆแค่ 3 คน แถมเน้นแต่ คนแก่ คนอ่อนแอและมีโรคประจำตัว ครับ

“Covid-19” มีขนาดเล็กมากกว่าสิ่งมีชีวิตทั่วๆไป
แม้แต่ DNA(Deoxyribonucleic Acid) ยังใหญ่กว่า
ใช้การวิเคราะห์รหัสพันธุกรรมแบบธรรมดาไม่ได้ ต้องใช้เป็น RNA(RiboNucleic
Acid) เขามีขา Sugar Phosphate เพียงข้างเดียว
มีแค่รหัสพันธุกรรมเฉยๆ เวลาไปเกาะกับเซลล์ของพาหะ ก็จะถ่ายทอดรหัสให้ เหมือนกับ Copy
ใส่ ทำไปเรื่อยๆ เท่ากับขยายพันธ์ุต่อครับ

ดูจาก รูปร่าง หน้าตาแล้ว มีความเป็นไปได้ว่า Covid-19
อาจจะมาจาก “ค้างคาว” ก่อนที่แปลงร่าง(Mutate)
ผ่านไปยังสัตว์ที่มีเกล็ดอย่าง ตัวนิ่ม หรือ งู แล้วค่อย Mutate*
อีกทีเข้าสู่มนุษย์เรา ครับ

(* Mutate หรือ Mutation คือ กระบวนการที่ “ไวรัส” ต้องปรับสภาพ
ปรับตัว กลายร่าง ให้สามารถอยู่ใน“พาหะใหม่”ได้ อย่าง “งู” เป็นสัตว์เลือดเย็น
แต่ “มนุษย์” เป็นสัตว์เลือดอุ่น
ถ้าไม่ปรับตัว เค้าก็ต้องตาย และ ไม่สามารถแพร่กระจายต่อได้ ครับ)

Covid-19 นั้นเป็นชื่อย่อที่ WHO(องค์การอนามัยโลก) ตั้งขึ้นสั้นๆ หลีกเลี่ยงไม่ใช้ ชื่อเฉพาะ ระบุ ประเทศกำเนิด หรือ ชาติพันธ์ ซึ่งประเด็นที่ละเอียดอ่อน ดังนั้นการที่ “ประธานาธิบดีทรัมป์” และ “วุฒิสมาชิกอเมริกัน” บางท่าน ออกมาให้สัมภาษณ์เรียกไวรัสนี้ว่า “ไวรัสอู่ฮั่น” “ไวรัสกังฟู” หรือ “ไวรัสจีน” ถือเป็นการผิดมารยาทการทูตระหว่างประเทศอย่างรุนแรง ครับ(* บางครั้ง ถ้าตั้งชื่อตามแหล่งกำเนิด ก็จะไม่ระบุประเทศ เช่น MERS ชื่อเต็มๆ คือ “Middle East Respiratory Syndrome” ซึ่งก็คือ “ตะวันออกกลาง” จะไม่ใช้ “ซาอุดิอาระเบีย” ที่เป็นประเทศต้นกำเนิดเด็ดขาด ครับ)

Covid-19 เกิดขึ้นตามธรรมชาติ หรือ ถูกตัดต่อทางพันธุกรรมจากห้องวิจัย?

จนกว่าจีนจะพบ “คนไข้หมายเลขศูนย์” คงไม่สามารถระบุชี้ชัดได้ว่า Covid-19 เกิดขึ้นจากการตัดต่อทางพันธุกรรมหรือไม่?
แม้ว่า Covid19 จะอยู่ในรูปของ RNA ที่มีขนาดเล็กกว่า DNA แต่เทคโนโลยีการตัดต่อพันธุกรรมนั้นก้าวหน้ามากพอ
แม้ว่าจะเจอ “คนไข้หมายเลขศูนย์” ถ้าไม่มีหลักฐานอื่นประกอบด้วย
ก็ไม่สามารถชี้ชัดได้ 100% ว่า มาจากธรรมชาติ หรือ
สร้างขึ้นมาจากห้องวิจัยได้ครับ

Covid-19 เป็นแล้วหายหรือไม่?

จากสถิติพบว่ามีผู้รับเชื้อ Covid-19
กว่า 80% สามารถหายจากโรคนี้
โดยไม่ต้องรับยาใดๆ แถมคนที่แข็งแรงมากๆ จะไม่แสดงอาการใดๆ ไม่ไอ ไม่มีไข้
บางครั้งแค่รู้สึกว่าจมูกไม่รับกลิ่นเท่านั้น
แล้วร่างกายก็จะสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเอง ครับ

ผู้รับเชื้อที่เหลืออีก 1ใน 6
คน หรือประมาณ 16.67% จะพัฒนาจนเกิดอาการที่รุนแรงขึ้น
ต้องนำส่งเข้าโรงพยาบาล เฝ้าระวังเน้นที่ ระบบหายใจ ครับ

จะมีผู้รับเชื้อแค่ 1ใน 30
โดยเฉพาะ คนที่อายุมากกว่า 60 หรือ ป่วยเป็น
โรคเบาหวาน โรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ ถึงจะมีโอกาสเสียชีวิตได้
(ตัวเลขนี้ประเมินคร่าวๆ โดย WHO) แต่ไม่ใช่ว่าคนอายุน้อยๆ
จะไม่มีผลกระทบเลยนะครับ ทุกๆคน ควรต้องดูแลตัวเองด้วย ครับ)

สำหรับของไทยเรานั้น ตอนนี้มีสถิติที่ดีกว่าทั่วโลก
มีคนเสียชีวิตแค่ 1 ใน 100 ของผู้ติดเชื้อเท่านั้นต้องชื่นชมความสามารถของ
“บุคลากรสาธารณสุข” ของไทยว่า
ทำงานได้ดีเยี่ยม ยิ่งเมื่อเทียบกับ “อเมริกา” ที่มีทั้งเทคโนโลยี งบประมาณล้นเหลือ
มั่นใจจนละเลยปล่อยให้มีคนติดเชื้อแซงหน้า “จีน” ไปอยู่อันดับที่ 1 แทน
ที่สำคัญอัตราการตายสูงกว่าเราเยอะที่ 1 ต่อ 40 คน ต้องขอตบมือดังๆ จากใจจริงๆ ให้ “บุคลากรทางสาธารณสุข”
ของเรา ครับ

มียารักษา Covid-19 หรือไม่?

ยารักษา Covid-19 ตรงๆ ตอนนี้ไม่มี ใช้เป็นแบบ “ค๊อกเทล” ซึ่งเอายาหลายๆตัวมาร่วมกันรักษา นิยมเป็น 2
แนวทาง คือ

ยาที่ทางฝั่งจีน ญี่ปุ่น เอเซีย และ แพทย์ไทย
นิยมใช้กันตั้งแต่แรกๆเลย ชื่อ “ฟาวิพิราเวียร์”(Favipiravir) หรือ T-705 หรือ Avigan เป็นยาต้านไวรัสที่มีอยู่แล้ว
พัฒนาโดย “บริษัทฟูจิฟิล์ม” มีฤทธิ์ยับยั้ง
RNA-Dependent หรือ RNA polymerase ของ
“ไวรัสไข้หวัดใหญ่” ไม่ให้เพิ่มจำนวน
จะใช้ประมาณ 45 เม็ดต่อผู้ป่วยหนึ่งคน
คนไข้จีนเมืองอู่ฮั่นส่วนใหญ่ก็ใช้ยาตัวนี้จนหายขาด

ตอนนี้ “องค์การเภสัช” ของเราแจ้งว่ามีอยู่ประมาณ
50,000 เม็ด ในระบบระเบียงยา สามารถรักษาได้ 1,100 คน แม้ยอดผู้ป่วยขึ้นไปแตะ 2,000 คนแล้ว
แต่ภายในเดือนมีนาคมนี้ เราจะได้รับบริจาคอีก 100,000 เม็ดจากจีน
พอเดือนเมษาก็มีที่สั่งจากญี่ปุ่นเข้ามาอีก 200,000 เม็ด
พอใช้แน่นอน ครับ(ข้อมูลจากองค์การเภสัช)

ยาที่อเมริกาและฝรั่งนิยมใช้ แต่พึ่งได้รับอนุมัติจาก FDA
คือ “Chloroquine”(ยารักษาโรคมาเลเรีย)
ใช้ร่วมกับ Remdesivir(มีฤทธิ์ต้าน MERS กับ SARS) ซึ่งตอนนี้ไทยเราโดย “โรงพยาบาลราชวิถี” ก็เริ่มนำมาทดลองใช้เป็นผลสำเร็จบ้างแล้ว
ครับ

ยาที่ทาง “โรงพยาบาลราชวิถี” เคยนำมาใช้แล้วได้ผลดี จนเป็นข่าวอีกตัว ก็คือ “Oseltamivir” ก็เป็นยาต้านไข้หวัดใหญ่ชนิดหนึ่ง

ยังมียาอีก 2 ตัว ที่ WHO เริ่มแนะนำให้ใช้
คือ ยารักษาเอดส์ที่ชื่อ “Ritonavir” และ “Lopinavir
“ ทั้งคู่จะออกฤทธิ์บล๊อก Enzymes ของไวัส Covid-19
นี้ได้เหมือนกัน ครับ

ปัญหาที่พบ คือ ไวรัส Covid-19 นั้น สามารถกลายพันธ์หลบหนียาบางตัวได้ จึงจำเป็นต้องมียาหลายๆแบบ
ดักทางหนีของเขาไว้ ยังไงก็ตามถึงเวลานี้ไทยเราน่าจะพร้อมมากๆ สำหรับ Covid-19
ครับ

วัคซีนป้องกัน Covid-19 จะได้ใช้เมื่อไหร่?

ตอนนี้มีเริ่มทดสอบวัคซีน Covid-19
กันแล้ว ในระดับที่เรียกว่า “Clinical Trail”(ทดสอบโดยตรงกับคน)
หลายที่ หลายแห่ง ทั่วโลก

จีน: ดูจะเร็วสุด โดยบริษัทที่ชื่อ “CanSino
Biologics Inc.” (ตั้งอยู่ที่เมือง “เทียนสิน”)
ได้พัฒนา “วัคซีน” ชื่อ “Ad5-nCoV”
และเริ่มฉีดทดสอบกับอาสาสมัครรุ่นแรก 108 คน
โดยเลือกจากประชากรที่อยู่ในเมือง “อู่ฮั่น” เอง คาดว่าการทดสอบจะเก็บข้อมูลจนถึงปลายปีนี้

อเมริกา: “National Institute of Allergy and Infectious
Disease”(NIAID) เริ่มทดสอบวัคซีน ชื่อ “mRNA-1273” ให้อาสาสมัครจำนวน 45 คน ในเมือง Seattle เมื่อวันที่ 19 มีนาคมที่ผ่านมาแต่ไม่ได้กำหนดระยะเวลาสิ้นสุด

อังกฤษ: มหาวิทยาลัย Oxford เริ่มทดสอบวัคซีน
ชื่อ “ChAdOx1 nCoV-19” แถมมีการเซ็นสัญญาทางพาณิชย์ กับ
บริษัทยา “Advent” พึ่งทดสอบใช้กับสัตว์ในเดือนมีนาคนที่ผ่านมา
และ เปิดรับอาสาสมัคร 510 คน โดยแบ่ง 260 คนที่จะฉีดวัคซีนให้จริง นอกนั้นจะฉีดน้ำเกลือหลอกๆเพื่อเปรียบเทียบผลกัน!

สรุป คือ เร็วสุดจะได้วัคซีน น่าจะอีก 9-12
เดือน นั่นหมายถึงว่า ต้องโชคดีสุดๆ ด้วย โดยปกติแล้ว “วัคซีน” จากเฟสที่ 1(เริ่มทดสอบ)
กว่าจะสำเร็จผ่านไปสู่เฟสที่ 3(เริ่มใช้ได้จริง)มีแค่ 11.5%
เท่านั้นเอง โชคดีที่ทั่วโลกตื่นตัวเรื่องไวรัสตัวนี้มาก
เลยยังมีอีกสารพัดสถาบันที่กำลังพัฒนาวัคซีนนี้
หวังว่าคงมีซักตัวที่ประสบความสำเร็จ ครับ

ถึงได้ “วัคซีน” มาแล้ว
มันไม่ได้จบซะทีเดียว เพราะ “วัคซีน” ต้องมี
Update ทุกปี เหตุเพราะ “ไวรัส”
กลายพันธุ์ได้(Mutation) อย่าง “วัคซีนไวรัสไข้หวัดใหญ่” บางปีถ้าป้องกันได้ 50%
ก็ถือว่าโชคดีแล้ว(นั่นเป็นเหตุผลที่เราต้องฉีด “วัคซีนไข้หวัดใหญ่” ทุกปีต่อเนื่อง ครับ)

Covid-19 แพร่เชื้อ อย่างไร?

ไวรัส Corona แต่ละตัวมีการแพร่เชื้อที่แตกต่างกันไป
โดยทั้ง SARS และ MERS ต้องให้ผู้ป่วยมีอาการไอ
และ มีไข้แล้ว จึงเริ่มแพร่เชื้อกระจายทาง “ละอองฝอย”*
เป็นหลัก หมายความว่า เราสามารถคัดกรอง ป้องกันการแพร่กระจายได้
แค่สังเกตจากอาการไอได้

Covid19 จะเริ่มแพร่เชื้อตั้งแต่เริ่มมีไข้เลย
แม้ยังไม่ไอ ทำให้คัดกรองยากขึ้น แถมผู้รับเชื้อบางคนก็ยังไม่มีไข้
เลยยิ่งไม่รู้ตัวเองว่าติดเชื้อแล้ว ครับ

(* “ละอองฝอย” จะมีระยะแพร่กระจายประมาณ
1-2 เมตร ดังนั้น Social Distancing จึงเป็นวิธีที่ป้องกันได้ดีสุด
ครับ)

Covid-19 ต้องอาศัยในละอองฝอยสารคัดหลั่งเท่านั้น(ไม่ใช่
Airborne ด้วยตัวเอง) แต่อยู่ในอากาศภายนอกได้นานถึง 3
ชั่วโมง เวลาจามหรือไอแล้ว น้ำมูก หรือ เมือก
จะตกลงบนพื้นอย่างรวดเร็ว

หากอยู่ในสถานที่อับๆ คนเยอะๆ อย่าง สนามมวย โบสถ์
สุเหร่า บาร์ สถานที่บริการต่างๆ หากผู้ป่วยไอหรือจาม “ละอองฝอย” ที่มีเชื้อจะตกติด ตาม โต๊ะ เก้าอี้
ราวบันได จาน ชาม ช่อน ซ่อม บางครั้ง เราอาจเอามือไปป้ายติดมาโดยไม่รู้ตัว ครั้นพอ
ปาดเหงื่อ ป้ายหน้าตัวเอง อาจทำให้ติดเชื้อได้ สถานที่เหล่านั้น
จึงมีโอกาสกลายเป็น “Super Spreader” ได้ ครับ

ที่น่ากลัวสุด คือ ละอองเชื้อ Covid-19 สามารถอยู่บนวัสดุที่ แข็ง เรียบ สะท้อนแสงได้* เช่น ลูกบิดประตู ราวจับรถเมล์ หน้าจอโทรศัพท์ ได้ยาวนานถึง 72 ชั่วโมง จึงควรพยายามหลีกเลี่ยง หรือ ทำความสะอาดวัตถุเหล่านั้นบ่อยครั้ง เวลาออกไปข้างนอก ขึ้นรถเมล์ รถไฟฟ้า ให้ระวังอย่าเอามือเข้าปาก จับจมูก จับใบหน้าตัวเอง ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งที่หลังลงรถสาธารณะ!!!(* Covid-19 จะอยู่ในวัสดุที่พรุน(Porous Material) เช่น กล่องกระดาษ ถุงผ้า ได้นานถึง 3 ชั่วโมง ครับ)

แต่อย่ากลัวจนเสียสติ เพราะ Covid-19
ต้องอาศัย ”ละอองฝอย” ถึงจะออกมาเที่ยวภายนอกร่างกายของพาหะได้

เวลาคนหายใจปกติ จะไม่มีละอองฝอยออกมา หรือ
ถ้าออกมาก็น้อยมากๆ มีรัศมีกระจายไม่เกิน 20 เซ็นติเมตร
แค่เดินผ่านกันไม่สามารถติดเชื้อได้ ย้ำว่าเว้นระยะห่าง 1.5 เมตร(Social
Distancing) ทำเพื่อป้องกันเวลาจามหรือไอแรงๆ
ที่จะกระจายได้ไกลกว่าปกติครับ!

ใส่หน้ากาก “ทางการแพทย์”
ช่วยป้องกัน Covid-19 ได้หรือไม่?

อันนี้เป็นประเด็นที่เคยถกเถียงกันตลอด
แต่ถ้าดูจะสถิติของประเทศที่ประชาชนนิยมใส่หน้ากากอย่าง ไทย ญี่ปุ่น
จะเห็นว่าอัตราการขยายตัวของ Covid-19 นั้นต่ำกว่า
ประเทศที่ไม่นิยมใส่หน้ากากเลย อย่าง อเมริกา สเปน หรือ อิตาลี

แม้ว่าในทางการแพทย์ หรือ WHO
จะแนะนำให้ใส่หน้ากากเฉพาะ “ผู้ป่วย” เพื่อป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อ หรือ “บุคลากรสาธารณสุข”
ที่มีโอกาสติดได้สูง เพียงแต่เค้าลืมบอกต่อว่า “คนที่ไม่ใส่หน้ากาก” นั้นต้องป้องกันตัวเองอย่างเข้มข้น
ปฏิบัติตามขั้นตอนต่างๆมากมาย ถึงจะได้ผล ครับ

ในความเป็นจริง ข้อดีของการใส่หน้ากาก อย่างแรก คือ
บ่อยครั้งที่เราลืมตัว เอามือที่เปื้อน มาป้องปากเวลาไอ ปาดเหงื่อ ปัดผม เกาจมูก
ต่างๆ สารพัด มันช่วยป้องกันไม่ให้เราพลาดทำนิสัยเหล่านั้น ข้อดีอีกอย่าง คือ
การใส่หน้ากากในทางจิตวิทยาแล้ว มันคอยเตือนคนใส่ ให้ระมัดระวังตัวเองมากขึ้น ครับ

ถ้ามีหน้ากากเพียงพอ ไม่ต้องซื้อหาในราคาที่แพงเกิน
ก็ใส่ไปเถอะครับ แต่ถ้ามันเหลือน้อยมาก ควรเสียสละให้ “บุคลากรสาธารณสุข” ที่เค้าต้องการมากกว่าไปเถอะ
ส่วนเราเองก็พยายามอยู่บ้าน หมั่นทำความสะอาด ล้างมือบ่อยๆ แทน ครับ!!!!

วิธีป้องกันตัวเองจาก Covid-19

ที่จริงข้อนี้ทุกคนน่าจะรู้อยู่แล้ว แค่ย้ำว่าต้องทำตามวิธีดังนี้

-ล้างมือด้วยสบู่ หรือ
แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อโรคบ่อยๆ
-Social Distancing พยายามเว้นระยะอย่างน้อย 1.5 เมตร จากผู้คนรอบข้าง
-หลีกเลี่ยง เอามือ ปาดเหงื่อ ขยี้ตา จับจมูก หรือ
เข้าปาก(ต้องล้างมือก่อนเสมอ)
-จามหรือไอใส่แขนพับตัวเอง หรือ ใส่กระดาษเช็ดปาก
-ไอแล้ว ห้ามเอามือเช็ดไปทั่ว
-พยายามอยู่บ้าน ลดโอกาสในการติดเชื้อ
-พยายามหลีกเลี่ยงบริเวณ Hot Spot ที่มีประวัติผู้ติดเชื้อ

แม้ว่ารัฐบาลเริ่มมีพัฒนา App ที่ update ข้อมูลต่างๆ รวมถึงบริเวณเสี่ยงบ้างแล้ว แต่อยากให้พิจารณา ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์มากกว่านี้ เช่น

ใช้หมายเลขโทรศัพท์ หรือ IMEI
ร่วมกับระบบ GIS เพื่อกำกับดูแลการเดินทางของผู้ถูกเฝ้าระวัง
บริหารเคอร์ฟิว รวมถึงเตือนให้รู้ว่ามีการชุมนุม ดื่มเหล้า ปาร์ตี้ ที่อาจทำให้เกิด
Super Spreaderได้ โดยอาจขอข้อมูล Concurrent และ LBS(Location Base System) ของ Mobile
Base Station จากผู้ประกอบการมือถือ มาช่วยด้วย

แทนที่มุ่งจะเขียนแอปใหม่โดยไม่มีการทดสอบ ลองหันไปใช้ QR
Code สำหรับลงทะเบียน แล้วส่ง OTP ผ่าน SMS
สำหรับผู้ที่ต้องถูกเฝ้าระวังให้ลงทะเบียน และตามตัวได้ตลอดเวลา

หรือ พยายามใช้สิ่งง่ายๆที่มีอยู่แล้ว อย่าง Google Form แทนไปเสียเงิน เสียเวลา พัฒนาระบบลองพิจารณาใช้ Cloud Platform ที่ Scale Up ได้ง่าย ซึ่งน่าจะแก้มีปัญหาที่มีอยู่ในตอนนี้ ได้บ้างครับ)

อาการของ Covid-19 และ วิธีตรวจ?

โดยทั่วๆไป อาการเริ่มแรกของ Covid-19
เหมือนกับ “ไข้หวัด” ทั่วไป
คือ มีไข้ ปวดเนื้อปวดตัว ไอแห้ง คัดจมูก น้ำมูกไหล จนถึง ท้องเสียอ่อนๆ

ไม่ต้องรีบไปหาหมอ ไปเพิ่มภาระให้เค้า ใจเย็นๆ
แต่คอยวัดอุณหภูมิตัวเอง ดูแลไม่ให้เกิน 37.3 องศา ถ้าเกินเมื่อไหร่
แม้จะยังไม่ไอ ค่อยวางแผนพบแพทย์ แจ้งล่วงหน้าไปเลยว่า เรามีความเสี่ยง เพราะอะไร?

วิธีตรวจที่นิยมสุด คือ PCR (Polymerase Chain
Reaction) ซึ่งจะนำสารคัดหลั่งของเรามาทำการทดสอบด้วยวิธี “Reverse
Transcription Polymerase Chain Reaction (rRT-PCR) ใช้ระยะเวลาในการทดสอบค่อนข้างนาน
บางครั้งอาจถึง 2 วัน

ตอนนี้ FDA(องค์การอาหารและยาของอเมริกัน)
เริ่มอนุญาตให้ใช้ Test Kits ของบริษัท Abbot
Molecular ที่เรียกว่า Abbott RealTime SARS-CoV-2 Assay ให้ผลเร็วขึ้นภายใน 15 นาที(ผลบวกออก 5 นาที ส่วนผลลบจะออกช้าหน่อย 13 นาที)
แต่ความแม่นยำจะต่ำกว่า ครับ

ตอนนี้ คณะเภสัช จุฬา เองก็ออกชุดตรวจ “Chula
COVID-19 Strip Test”ตรวจหาภูมิคุ้มกัน(IgG & IgM) ที่ร่างกายจะสร้างขึ้นมาหากติดเชื้อ ซึ่งจะตรวจจาก “เลือด”
คล้ายของ “Abbot” ไม่แม่นยำเท่า PCR แต่ใช้เวลาเพียง 10-15 นาที เท่านั้นเอง ครับ

ทำไม Covid-19 ถึงขยายตัวรวดเร็ว?

ว่าไปแล้วเหตุที่ Covid-19 ขยายตัวรวดเร็วกว่า ทั้ง MERS และ SARS ไม่รู้โชคดีหรือร้าย แต่เป็นเพราะ Covid-19 นั้นไม่ร้ายกาจเท่ากับพี่ๆของเขา
ซึ่งมีอัตราตายสูงกว่า เลยทำให้การระบาดนั้นสิ้นสุดเร็ว ครับ

อธิบายง่ายๆ คือ “ไวรัส” ต้องกลายพันธ์(Mutate)
เสมอ เมื่อไรที่ย้ายตัวเองจากพาหะเก่า
ต้องปรับตัวให้เข้ากับพาหะใหม่ นั่นหมายความว่า เมื่อไรพาหะนั้นตายลง
สายพันธุ์ที่ร้ายจะตายตามไปด้วย ไม่มีโอกาสขยายพันธุ์ เป็นอันสิ้นสุด ครับ

สายพันธุ์ที่คงอยู่รอดได้ มักเป็นพวกอ่อนๆ ไม่สามารถฆ่าใคร
กลายเป็นไข้หวัดธรรมดาๆ และ คนที่เคยสร้างภูมิคุ้มกันได้ ก็เป็นแค่พาหะเท่านั้น

(ตอนที่ “สเปน” บุกไปครอบครองอาณาจักรทั้ง “แอซเทค” และ “มายา” ได้นั้น อาวุธที่ร้ายกาจที่สุด คือ คนสเปนเองเป็นพาหะของ “กาฬโรค” เมื่อเอาไปแพร่กระจายสู่คนท้องถิ่น เลยฆ่าตายคนไปหลายล้านคน ถือเป็น “อาวุธชีวภาพ” อย่างแรกของโลก ทำให้ทหารสเปนไม่กี่ร้อยคน ชนะอาณาจักรที่มีประชากรเป็นล้านคน ได้ครับ)

แน่นอนว่า Covid-19 ไม่ได้รุนแรงมาก
ดังนั้นมันคงอยู่กับเราอีกพอควร และมันจ้องทำร้ายแต่คนแก่ หรือ
ผู้ป่วยที่เป็นโรคต่างๆ ครับ

Quarantine หรือ กักตัว ช่วยอย่างไร?

คำว่า “Quarantine” ที่จริงมาจากภาษาอิตาเลียน “Quarantena”
ซึ่งแปลว่า 40 วัน เหตุเพราะ เมื่อราว 500
ปีก่อน ในยุคที่ “กาฬโรค” ระบาด เลยมีการออกข้อบังคับ กักเรือและกลาสี 40 วัน
ก่อนจะให้เทียบท่าเรือ เมืองเวนิส เพื่อป้องกันโรคระบาด ครับ

สำหรับ Covid-19 ระยะเวลา 14 วันนั้น กำหนดขึ้น ว่าเพียงพอ ที่จะสังเกตอาการของผู้ติดเชื้อได้

ตอนนี้ไทยเราทำได้ดีมากๆ
คัดกรองผู้เดินทางมาจากประเทศเสี่ยง แยกไปกักตัวในพื้นเฉพาะ
ซึ่งปลอดภัยกว่ากักตัวเองที่บ้าน มีอาหาร มีบุคลากรดูแลตลอดเวลา ไม่เสี่ยงแพร่เชื้อคนในครอบครัวตัวเอง
ครับ

วิธีป้องกันแบบ Herd Immunity คือ?

“Boris Johnson”(นายกรัฐมนตรีอังกฤษ)
เคยให้สัมภาษณ์ เสนอวิธีป้องกันแบบฝูง (Herd Immunity) จนเป็นที่ฮือฮา
ว่า

เค้าจะเน้น ป้องกันดูแล คนแก่ และ คนที่มีโรคประจำตัว
ให้มากกว่าปกติ แต่จะเร่งให้คนหนุ่มคนสาวที่แข็งแรงติดเชื้อเยอะๆ
พอสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาได้
คนหนุ่มสาวเหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันล้อมรอบ “คนแก่” เหล่านั้น(ดูในรูป)

“Herd Immunity” คิดมาเกือบจะร้อยปีแล้ว
โดยในปี ค.ศ.1923 อยู่ในบทความเรื่อง “The spread of
bacterial infection: the problem of herd immunity” แต่ยังไม่มีใครกล้านำมาใช้จริงๆ

Wilson GS. ผู้คิดวิธีนี้
เชื่อว่ามันเป็นทางเลือกที่ดีสุด ในภาวะที่ทรัพยากรทางสาธารณสุข ไม่ว่าจะเป็น ยา
หน้ากาก เจล เตียงคนไข้ โรงพยาบาล ขาดแคลนจริงๆ ครับ

วิกฤตนี้จะอยู่กับเราอีกนานเท่าไหร่?

โดยปกติแล้ว ด้วยระบบคัดกรองธรรมชาติจะจัดการกับ “ไวรัส” โดยการกลายพันธ์(Mutation) จนกระทั่งโรคร้ายนั้นอ่อนแรงลงเอง มักจะใช้เวลาราว 2 ปี

อย่าง “ไข้หวัดสเปน” ที่ถือว่าเป็นโรคระบาดที่ร้ายแรงสุดเกิดในปี
1918 มีผู้ติดเชื้อเกือบ 500 ล้านคน
และเสียชีวิตมากกว่า 1 ใน 10 คน(คาดว่าราว
50-70 ล้านคน) แต่หลังจากนั้นเพียงปีเดียว
มันก็หายไปเองอย่างปาฏิหาริย์ เชื่อกันว่าไวรัสกลายพันธุ์เอง จนหมดอันตรายไปเลย
ครับ

สำหรับ Covid-19 นี้
ต้องนับถือความเด็ดขาดของรัฐบาลจีน ที่สามารถจัดการ Covid-19 เด็ดขาดจนเห็นผลในระยะเวลาแค่ 4 เดือนเท่านั้น

ด้วยมาตรการที่เข้มข้นต่างๆ ของไทย คงอีกประมาณ 9-12 เดือน ที่คนไทยน่าจะเริ่มกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ และ ต้นเดือนกรกฎาคมนี้ เราคงเห็นมาตรการต่างๆ ผ่อนผันลงบ้าง ครับ(วงในแจ้งมาว่า บริษัทที่ปรึกษาใหญ่ “Booz Allen Hamilton” ของอเมริกา มีการออกหนังสือสื่อสารภายในองค์กร วางแผนรองรับวิกฤตภาวะ Lock down จนถึง ต้นเดือนกรกฎาคม เหมือนกันครับ)

หลังวิกฤตเรื่อง Covid-19 เราจะต้องเจอกับอะไรบ้าง?

ไม่ต้องรอ Covid-19 ให้จบหรอกครับ
ตอนนี้ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยเรา ได้เข้าสู่ยุคเศรษฐกิจถดถอย(Recession)แล้ว เพียงแต่เราอาจจะยังไม่รู้สึกตัว เพราะยังกังวลกับ Covid-19 ดูง่ายๆจากตลาดทุนที่เคยอยู่ราว 1,700 จุด
หดหายเหลือ 1,100 จุดเท่านั้นเอง

ถ้าโชคดีเศรษฐกิจไทยก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว(V-Shaped)
หรือ ถดถอยสั้นๆแล้วฟื้น(U-Shaped)

แต่ถ้าผู้บริโภคเกิดความไม่มั่นใจ อัดฉีดแล้ว
ยังกลัวกัน ไม่ยอมลงทุน ไม่ซื้อหุ้น เศรษฐกิจก็จะกลับไปถดถอยใหม่(W-Shaped
or Double-dip recessions)

ที่ร้ายที่สุด คือ (L-Shaped) ที่เราอาจเข้ายุค Depression(ซึมเศร้า)
ที่ไม่มีใครเชื่อใน “กลไกของรัฐ” หรือ “เงิน” แล้วเปลี่ยนไปซื้อทอง กอดมันไว้แน่น ไม่ซื้อ
ไม่ขาย ไม่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจเลย ครับผม!!

หันมามองนโยบายกู้เงิน หรือ อัดฉีดเงิน ของเรา
ทำให้น่าเป็นห่วง คือ รัฐเองไม่ควรเร่งทุ่มอัดฉีดจนหมดหน้าตักในเวลานี้
แม้จะมีแรงบีบจาก ตลาดหุ้น พ่อค้า นักธุรกิจ มากมาย แต่ด้วยภาวะจิตใจแบบนี้ เงินที่ลงไปเท่าไหร่ก็คงไม่พอ
มันจะไม่มีการกระจายตัว คนที่ได้เงิน ถือเงินก็จะเก็บ
ไม่มีอารมณ์ออกมาจับจ่ายใช้สอยหรอก ครับ

ช่วงนี้น่าจะเร่งนโยบาย ลดค่าใช้จ่าย เช่น
ยกเว้นดอกเบี้ยเงินกู้ ลดค่าน้ำ ค่าไฟ(ไม่ใช่แค่ 3%) หรือ
ลดภาระด้านอื่นๆ ไม่ให้ตัดสัญญาณโทรศัพท์หรืออินเตอร์เน็ต(ไม่ต้องไปแจกเพิ่ม Speed
หรอกครับ) ออกกฎ ห้ามยึดรถ ยึดบ้าน 3 เดือน
พอให้เขาอยู่ได้ก่อน

รอจนเริ่มเห็นวิกฤตครั้งนี้พอจะเห็นทางคลี่คลายได้
ค่อยเริ่มนโยบายอัดฉีด จากลดดอกเบี้ยเงินฝาก(เร่งให้ลงทุนใช้เงิน)
แล้วค่อยอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้น หรือ Reboot ให้คนกลับมาจับจ่ายใช้สอยเหมือนเดิม

กลัวว่าพอถึงตอนนั้นรัฐเองก็ไม่มีเงินพอ
คงต้องไปกู้มาอีก กลายเป็นวงจรอุบาท สร้างหนี้สินให้กับลูกหลานต่อไปเรื่อยๆ ครับ

โชคดีอย่าง ที่ประเทศไทยเป็นประเทศท่องเที่ยว
ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มที่ฟื้นตัว และ นำเงินสดเข้าประเทศได้เร็วสุด
ที่ผ่านมาเราเองไม่ได้จุดกระแสเกลียด “จีน” เหมือนฝรั่งบางประเทศ
นักท่องเที่ยวจีนก็น่าจะหลั่งไหลเข้ามาหลังวิกฤตนี้ ช่วยกระชากเครื่องยนต์เศรษฐกิจของชาติให้เครื่องติด
เคลื่อนตัวต่อได้ ครับผม

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0