โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

ต้องใช้เครื่องมือหลากหลายดูแลค่าเงินยุคตลาดป่วน

Money2Know

เผยแพร่ 12 ธ.ค. 2561 เวลา 09.58 น. • money2know - เงินทองต้องรู้
ต้องใช้เครื่องมือหลากหลายดูแลค่าเงินยุคตลาดป่วน

อัตราแลกเปลี่ยนจัดว่าเป็นประเด็นหนึ่งที่สาธารณชนให้ความสนใจ เพราะเกี่ยวข้องกับทุกภาคส่วน ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ในช่วงที่ผ่านมา

ค่าเงินของประเทศตลาดเกิดใหม่ (emerging markets: EMs) รวมถึงไทย ซึ่งใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวนั้นผันผวนค่อนข้างมากจากกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายที่เปลี่ยนทิศทางเร็ว ตาม (1) การคาดการณ์ทิศทางนโยบายการเงินของประเทศเศรษฐกิจหลัก (2) ความไม่แน่นอนของนโยบายกีดกัน ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึง (3) ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ EMs เอง

กระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายที่ไหลออกฉับพลันและรุนแรงมีส่วนทำให้บางประเทศ EMs ต้องเผชิญกับวิกฤตค่าเงินในช่วงกลางปีนี้ เช่น ตุรกีและอาร์เจนตินา อีกทั้งยังมีส่วนสร้างแรงกดดันให้ค่าเงินในภูมิภาคเอเชียอ่อนค่าลงด้วย

ธนาคารกลางของประเทศ EMs รับมือกับกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายที่ผันผวนด้วยการปล่อยให้ค่าเงินปรับตัวตามกลไกตลาด ควบคู่กับการใช้เครื่องมือหลายรูปแบบเพื่อดูแลไม่ให้ค่าเงินผันผวนเกินไป

บทความนี้ ได้รวบรวมประสบการณ์การใช้เครื่องมือดูแลเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยนของธนาคารกลางต่างประเทศ ซึ่งมีข้อดีและข้อจำกัดต่างกัน

มาตรการดูแลค่าเงิน
มาตรการดูแลค่าเงิน

1. การใช้เครื่องมืออัตราดอกเบี้ยนโยบาย มีตัวอย่างหลายประเทศที่ใช้เครื่องมือนี้ในช่วงปีนี้ เช่น อินโดนีเซียที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแล้วถึง 6 ครั้ง รวม 1.75% เพื่อรักษาเสถียรภาพด้านต่างประเทศ เนื่องจากประสบปัญหาขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูง อินเดียที่ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไปแล้ว 2 ครั้ง รวม 0.5%เพื่อลดแรงกดดันค่าเงิน ด้านอ่อนค่าที่มีผลทำให้เงินเฟ้อในประเทศสูง

แต่การใช้เครื่องมืออัตราดอกเบี้ยนโยบาย ช่วยดูแลอัตราแลกเปลี่ยนที่มากเกินไป ก็อาจส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจในประเทศได้ เช่น อาร์เจนตินาที่ปรับขึ้น อัตราดอกเบี้ยนโยบายไปแล้ว 31.25% ในปีนี้ แต่มาตรการดังกล่าวเพียงมาตรการเดียวไม่สามารถรักษาเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยนได้ และกลับมีผลทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ของประเทศด้อยลงมาก จนใน ที่สุดต้องขอรับความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)

2. การแทรกแซงตลาดอัตราแลกเปลี่ยน แม้ธนาคารกลางส่วนใหญ่ไม่เปิดเผยข้อมูลการแทรกแซงค่าเงิน แต่สาธารณชนสามารถติดตามการใช้เครื่องมือนี้ได้โดยคร่าวจากการเปลี่ยนแปลงตัวเลขเงินสำรองระหว่างประเทศ ที่ธนาคารกลางประกาศในแต่ละช่วงเวลา

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของมูลค่าเงินสำรองฯ อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่าสินทรัพย์และการตีราคาอัตราแลกเปลี่ยนด้วย จึงต้องตีความอย่างระมัดระวัง หรือ พิจารณาร่วมกับการสื่อสารของธนาคารกลาง ซึ่งเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่ธนาคารกลางใช้เพื่อยึดเหนี่ยวการคาดการณ์ของสาธารณชนและเสริมประสิทธิผลของการดูแลค่าเงิน โดยธนาคารกลางอินโดนีเซีย อินเดีย และอาร์เจนตินา เป็นกรณีตัวอย่างที่มีการแทรกแซงค่าเงินเพื่อช่วยไม่ให้ค่าเงินอ่อนค่าลงมากในปีนี้ สะท้อนจากระดับเงินสำรองฯที่ลดลงไปมากจากระดับ ณ สิ้นปีก่อน รวมถึงการให้สัมภาษณ์ของผู้ว่าการฯ ถึงความพร้อมในการเพิ่มระดับการแทรกแซงค่าเงิน

แต่ในกรณีของอาร์เจนตินาที่ใช้เงินสำรองฯ แทรกแซงค่าเงินมากทำให้นักลงทุนกังวลว่า ธนาคารกลางอาจไม่สามารถรักษาเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยนในอนาคตได้ จึงกลับ ทำให้ค่าเงินยิ่งอ่อนค่ามากขึ้น

3. CFM แบ่งได้เป็น 1) กฎเกณฑ์ควบคุมด้านราคา ซึ่งอาจมีผลจำกัดเพราะนักลงทุนสามารถปรับการลงทุนเพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการได้ เช่น การจัดเก็บภาษีเงินทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรของบราซิลในปี 2552 เนื่องจากมีเงินทุนไหลเข้าจำนวนมาก ซึ่งมาตรการดังกล่าวมีผลไม่มาก ธนาคารกลางบราซิลจึงทยอยเพิ่มอัตราภาษี และ 2) กฎเกณฑ์ควบคุมด้านปริมาณ ซึ่งส่วนใหญ่มักใช้ดูแลเงินทุนไหลออก ในช่วงวิกฤต เช่น การออกมาตรการห้ามนักลงทุนต่างชาตินำเงินออกเป็นเวลา 12 เดือนในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ ปี 2540 ของมาเลเซีย

มาตรการนี้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศค่อนข้างยาวนาน

สำหรับประสบการณ์ของไทย นอกจากการผสมผสานเครื่องมือดูแลเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยนข้างต้นให้เหมาะสมกับบริบทเศรษฐกิจไทย

ในช่วงหลัง ธนาคารแห่งประเทศไทยยังให้ความสำคัญกับมาตรการอื่น ที่จะช่วยให้ภาคเอกชนเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตนเองจากความผันผวนของค่าเงินด้วย เช่น การเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจในการป้องกันความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยน การสนับสนุนมาตรการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างเพื่อ ยกระดับความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจ และการลดขั้นตอนการทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินตรา ต่างประเทศให้คล่องตัวขึ้น (Regulatory Guillotine) ตลอดจนการทยอยผ่อนคลายกฎเกณฑ์เงินทุนเคลื่อนย้าย ให้เงินทุนขาออกของคนไทยสมดุลกับกระแสเงินทุนไหลเข้าของนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น

จากประสบการณ์ต่างประเทศทำให้เห็นว่า เครื่องมือในการดูแลเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยนของ ธนาคารกลางมีหลายรูปแบบ รวมถึงแต่ละเครื่องมือมีข้อจำกัดต่างกันและมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง โดยมีทั้งผู้ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์

ผู้ดำเนินนโยบายจึงต้องพิจารณาใช้เครื่องมือตามบริบทเศรษฐกิจเป็นหลัก และแม้ว่าธนาคารกลางจะสามารถช่วยรักษาเสถียรภาพของค่าเงินได้ แต่ในโลกปัจจุบันที่ตลาดการเงินผันผวน และไม่แน่นอนสูง การพึ่งพาการดูแลเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยนโดยธนาคารกลางเพียงฝ่ายเดียวย่อมไม่เพียงพอ ทุกภาคส่วนจึงควรปรับตัวเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนด้วยเช่นกัน

จากบทความ "ส่องประสบการณ์เครื่องมือดูแลค่าเงินในต่างประเทศ" โดย นายรัชชพล ศุภวิวรรธน์ นางสาวธาราทิพย์ ตั้งกาญจนภาสน์ ฝ่ายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) 

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0