สภาเศรษฐกิจโลกเผยไทยมีความเสี่ยงในการทำธุรกิจในประเทศไทย 5 อันดับ ต่างชาติกังวลเศรษฐกิจฟองสบู่ -ความล้มเหลวของรัฐบาล
น.ส. พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวถึงการศึกษารายงานเรื่อง ความเสี่ยงระดับภูมิภาคในการประกอบธุรกิจ (Regional Risk of Doing Business2019 ) ที่จัดทำโดยสภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) ว่า อันดับความเสี่ยงในการทำธุรกิจทั่วโลกปี 2562 นี้ 10 อันดับแรก ได้แก่ 1. วิกฤติทางการเงิน 2.การโจมตีทางไซเบอร์ 3. ภาวะการว่างงาน 4. วิกฤติราคาพลังงาน 5. ความล้มเหลวของรัฐบาล 6. ความวุ่นวายทางสังคม 7. การโจรกรรมข้อมูล 8.ความขัดแย้งระหว่างรัฐ 9. การขาดโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ 10.เศรษฐกิจฟองสบู่
สำหรับความเสี่ยงในการทำธุรกิจสำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกนั้น แบ่งได้เป็น 4 ด้านสำคัญ ได้แก่ ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านเทคโนโลยี ด้านภูมิรัฐศาสตร์ และด้านเศรษฐกิจ โดยสรุป 10 อันดับความเสี่ยงในการทำธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ได้แก่ 1. ภัยธรรมชาติ 2. การโจมตีทางไซเบอร์ 3.ความขัดแย้งระหว่างรัฐ 4. วิกฤตการณ์ทางการเงิน 5. เหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศที่รุนแรง 6.เศรษฐกิจฟองสบู่ 7.การโจรกรรมข้อมูล 8. วิกฤติราคาพลังงาน 9. ภาวการณ์ว่างงาน 10. ความล้มเหลวของรัฐบาล
จากการศึกษายังพบว่า ความเสี่ยงในการทำธุรกิจในประเทศไทย 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. เศรษฐกิจฟองสบู่ 2. ความล้มเหลวของรัฐบาล 3. การโจมตีทางไซเบอร์ 4. ภัยพิบัติทางธรรมชาติและโดยมนุษย์ และ 5. ความไม่มั่นคงทางสังคม ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงควรมีการศึกษาเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการด้านการค้าและการลงทุนให้แก่ผู้ประกอบการต่างประเทศ รวมทั้งหาทางแนวทางและมาตรการป้องกันและรับมือกับความเสี่ยงต่าง ๆอย่างเป็นรูปธรรมด้วย
“สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้าจะดำเนินการการติดตามรายงานผลสำรวจ การจัดอันดับและการศึกษาต่าง ๆ ขององค์กรที่เป็นที่ยอมรับทั่วโลก อาทิ ธนาคารโลก และสภาเศรษฐกิจโลกอย่างต่อเนื่อง เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ประเด็นทางเศรษฐกิจที่เป็นประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการไทย ซึ่งนับเป็นหน้าที่สำคัญของสำนักงานฯ ที่จะสนับสนุนข้อมูลและให้คำแนะนำแก่ผู้ประกอบการ ให้ตระหนักถึงสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันที่มีความเชื่อมโยงและเกี่ยวเนื่องกัน เพื่อส่งเสริมการค้าเชิงรุก (proactive strategy) ให้สามารถขยายตลาดไปยังภูมิภาคต่าง ๆ และเสริมสร้างขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจให้เพิ่มมากขึ้น” น.ส. พิมพ์ชนก กล่าว