โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

กีฬา

ตามล่าหา? เหล่าฮีโร่ ลิเวอร์พูล ชุดคว้าแชมป์ ชปล. เมื่อ 14 ปีที่แล้ว

ขอบสนาม

อัพเดต 15 ก.พ. 2561 เวลา 03.21 น. • เผยแพร่ 25 พ.ค. 2562 เวลา 08.16 น. • ขอบสนาม
ตามล่าหา? เหล่าฮีโร่ ลิเวอร์พูล ชุดคว้าแชมป์ ชปล. เมื่อ 14 ปีที่แล้ว

14 ปีที่แล้ว เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2005 ลิเวอร์พูล สร้างประวัติศาสตร์ในคำคืนสุดมหัศจรรย์ที่อิสตันบูล ด้วยการคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาล 2004/2005 เป็นสมัยที่ 5 ของสโมสร ภายใต้การนำทัพของ ราฟาเอล เบนิเตซ มาดูกันว่า มาดูกันว่าปัจจุบันพวกเขาอยู่ไหนกัน

1. เจอร์ซี่ ดูเด็ค

ฮีโร่ในค่ำคืนอันแสนมหัศจรรย์ที่อิสตันบลูของเหล่าบรรดา “เดอะ ค็อป” แม้ว่านายประตูเลือดโปลคนนี้จะเสียถึง 3 ประตูในค่ำคืนนั้น แต่การปฏิเสธลูกโหม่งที่ยอดเยี่ยมของ อังเดร เชฟเชนโก้ และการป้องกัน 2 จุดโทษในช่วงการยิงตัดสินแชมป์นั้น ก็เพียงพอให้ชื่อของ เจอร์ซี่ ดูเด็ค อยู่ในใจของสาวก ลิเวอร์พูล ตลอดไป หลังจากค่ำคืนนั้น ดูเด็ค ถูก เปเป้ เรน่า แย่งตำแหน่งมือหนึ่งในปีต่อมา ในปี 2007 เขาได้ย้ายไปร่วมทีม เรอัล มาดริด เพื่อเป็นตัวสำรองของ อิเกร์ กาซิยาส นายด่านระดับตำนานของ เรอัล มาดริด ก่อนที่ 4 ปีถัดมาจะแขวนถุงมือในปี 2011

ในปี 2013 ดูเด็ค ได้รับเชิญจากทีมชาติโปแลนด์ให้ลงสนามในนามทีมชาติเกมที่ 60 ทั้งนี้เพื่อสมาคมฟุตบอลโปแลนด์จะได้เชิญชื่อของ เจอร์ซี่ ดูเด็ค เข้าสู่หอเกียรติยศ (Hall of Fame) ของประเทศได้

ปัจจุบัน ดูเด็ค เดินสายเป็นทูตสัมพันธไมตรีในนามทีมชาติโปแลนด์และสโมสร ลิเวอร์พูล พร้อมกับลงเล่นเกมการกุศลต่าง ๆ ในนามของสโมสร ลิเวอร์พูล รวมไปถึง เรอัล มาดริด ในปี 2015 เขาได้เป็นทูตสัมพันธไมตรีในการแข่งขอนรอบชิงชนะเลิศยูโรปาลีก ที่ วอร์ซอว์ อีกด้วย

2. สตีฟ ฟินแน่น

แม้ว่า ฟินแน่น จะทำประตูได้เพียงลูกเดียวในชีวิตการลงเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล ในเกมพบ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน แต่ลูกยิงของดาวเตะชาวไอริชก็ทำให้เขาเป็นหนึ่งในนักเตะเพียง 2 คนในโลกที่ทำประตูได้ในลีกอาชีพทุกลีกของอังกฤษ

อดีตฟูลแบ็คทีมชาติไอร์แลนด์ย้ายจาก ฟูแล่ม มาอยู่กับ ลิเวอร์พูลในปี 2004 ก่อนที่จะย้ายไปเอสปันญ่อลในปีถัดมา หลังเสียตำแหน่งตัวจริงให้กับ อัลบาโร่ อาร์เบลัว และเป็นเพราะอาการบาดเจ็บ ทำให้ชีวิตการค้าแข้งในแดนกระทิงดุของฟินแนนไม่ค่อยราบรื่นมากนัก จนสุดท้ายหลังจากย้ายไปเล่นในสเปน 1 ปีเขาตัดสินใจย้ายกลับมาเล่นในอังกฤษกับ พอร์ทสมัธ ขณะที่ ฟินแนน ก็มีอาการบาดเจ็บอยู่บ่อยครั้ง จนในที่สุดฟูลแบ็คชุดแชมป์ยุโรปปี 2005 รายนี้จึงตัดสินใจแขวนสตั๊ดในปี 2010

อย่างไรก็ตาม เมื่อปี 2015 ทุกคนต่างสงสัยว่า ฟูลแบ็ครายนี้ หายไปไหน เนื่องจากเป็นดาวเตะคนเดียวในทีมชุดนี้ที่ไร้โซเชี่ยลมีเดีย ไม่มีใครรู้ว่าเขาทำอะไรอยู่ จนทำให้เกิดแคมเปญ #FindSteveFinnan ในทวิตเตอร์เลยทีเดียว ซึ่งนั่นทำให้ ฟินแน่น ตัดสินใจสร้างทวิตเตอร์ขึ้นมา และทำให้ได้รู้ว่าปัจจุบันเขายังคงอาศัยอยู่ในกรุงลอนดอน พร้อมกับทำธุรกิจก่อสร้างเล็ก ๆ กับพี่น้องของเขานั่นเอง

3. เจมี่ คาราเกอร์

คงไม่ต้องบรรยายมากมายสำหรับกองหลังหมายเลข 23 รายนี้ เพราะอาจจะเป็นอดีตนักเตะในชุดนั้นที่เรายังคงได้เห็นชื่อของเขาบ่อย ๆ บนหน้าหนังสือพิมพ์และหน้าจอโทรทัศน์อยู่เสมอ ปัจจุบัน คาร์ราเกอร์ กำลังทำหน้าที่วิเคราะห์เกมให้กับช่อง Sky Sports ซึ่งเรามักเห็นเขาบ่อยๆในบทบาทคู่หูของ แกรี่ เนวิลล์ อดีตตำนาน “ปีศาจแดง” แม้จะโดนพักงานไปช่วงหนึ่งที่ถมน้ำลายใส่เด็กผีจนเกิดเป็นเรื่องเป็นราว แต่ล่าสุดก็กลับมาทำงานแล้ว

ปราการหลังที่รับใช้ลิเวอร์พูลเพียงสโมสรเดียวทั้งชีวิต ยังมีความสนใจในด้านของการคุมทีมอีกด้วย ปัจจุบันเขากำลังอบรมหลักสูตรโค้ชของทางยูฟ่า อย่างไรก็ตาม ตำนาน ลิเวอร์พูล เคยเขียนลงในคอลัมน์ของหนังสือพิมพ์ว่า การคุมทีมในระดับสูงเป็นเรื่องที่เขาไม่อยากทำเลย ทั้งนี้เป็นเพราะเขาเคยเห็นผู้จัดการทีมที่เขาชื่นชอบอย่าง เชราร์ อุลลิเยร์ และ ราฟา เบนิเตซ ต้องโดนไล่ออกจากตำแหน่งทั้งคู่นั่นเอง

4. ซามี ฮูเปีย

ปราการหลังชาวฟินแลนด์ฉายาภูผาน้ำแข็ง กับการเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล 10 ปี คว้าแชมป์ร่วมกับสโมสร 10 แชมป์ โดยเจ้าตัวย้ายเข้ามาเล่นให้กับลิเวอร์พูลครั้งแรกในปี 1999 คอยบัญชาแนวรับคู่กับ สเตฟาน อองโชซ์ และใช้เวลาเพียง 2 ปีเท่านั้นในการพาหงส์แดงเถลิงความยิ่งใหญ่เมื่อพวกเขาคว้า 3 แชมป์ แบบเต็มภาคภูมิ ทั้ง เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ และ ยูฟ่า คัพ ในปี 2001

อย่างไรก็ตามช่วงเวลาที่สูงที่สุดในอาชีพของเขากับยอดทีมแห่งลุ่มน้ำ เมอร์ซีย์ไซด์ คงเป็นตอนไหนไปไม่ได้นอกจากค่ำคืนมหัศจรรย์ที่อิสตันบูล เมื่อกองหลังทีมชาติฟินแลนด์รายนี้จับคู่กับ เจมี คาร์ราเกอร์ และพาทีมทะลุถึงรอบชิงชนะเลิศชนกับ “รอสโซเนรี” เอซี มิลาน ซึ่งแม้ว่าจะตกเป็นฝ่ายตามหลังถึง 3 ประตูตั้งแต่ครึ่งแรก แต่พวกเขาก็พลิกนรกกลับมาอย่าไม่น่าเชื่อยันเสมอในเวลาก่อนจะเฉือนชนะในการดวลจุดโทษ คว้าถ้วยบิ๊กเอียร์สมัยที่ 5 ของสโมสรมาครองได้สำเร็จ และทำให้ ลิเวอร์พูล กลายเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จในเวทียุโรปมากที่สุดในเกาะอังกฤษ

หลังจากนั้น ฮูเปีย อยู่รับใช้หงส์แดงต่ออีก 4 ปีด้วยกันก่อนจะตัดสินใจย้ายไปหาประสบการณ์ที่แตกต่างในบุนเดสลีกากับ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ที่ซึ่งหลังจากค้าแข้งเป็นเวลา 2 ฤดูกาล เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นกุนซือขัดตาทัพชั่วคราวก่อนที่จะได้กลายเป็นเฮดโค้ชแบบเต็มตัวในฤดูกาล 2013-14 แต่ผลงานของทีมกลับตกต่ำลงและส่งผลให้เขาโดนปลดออกจากตำแหน่งในท้ายที่สุด

จากนั้นฤดูกาลถัดมาอดีตแนวรับลิเวอร์พูลกลับสู่อังกฤษอีกครั้งเมื่อรับกุนซือที่ ไบร์ทตัน แต่ก็ยังไม่ถึงจบซีซั่นก็ต้องตัดสินใจลาออกเพื่อรับผิดชอบฟอร์มของทีมที่ย่ำแย่ ทำให้เจ้าตัวว่างงานอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะได้งานใหม่กับ เอฟซี ซูริค ยอดทีมจากสวิตเซอร์แลนด์ ซูเปอร์ ลีก แต่ก็คุมทีมได้เพียงฤดูกาลเดียว

ปัจจุบัน ฮูเปีย รับงานเป็นทูตสโมสร ลิเวอร์พูล ในการทำงานการกุศล และเดินสายร่วมกับทีม สร้างสัมพันธไมตรีโดยเฉพาะในแถบเอเชีย ล่าสุดก็ได้เดินทางมากับทีมชุดใหญ่ในการแข่งขันปรีซีซั่น ฤดูกาล 2017/2018 ที่ฮ่องกงด้วยเช่นเดียวกัน

5. ฌิมี่ ตราโอเร่

อดีตแนวรับทีมชาติมาลีค้าแข้งอยู่ในถิ่นแอนฟิลด์นาน 7 ปีด้วยกัน และแม้ว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่คว้าแชมป์อยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก, ลีก คัพ และ เอฟเอ คัพ ทว่าเหตุการณ์ที่ตราตรึงในหัวใจเหล่า “เดอะ ค็อป” คงไม่มีทางเป็นอื่นนอกจากสกิลสุดเหนือ “ตราโอเร่ เทิร์น” ที่เจ้าตัวทำเข้าประตูตัวเองในศึกเอฟเอ คัพ ที่หงส์แดงพลิกล็อกพ่ายแพ้ เบิร์นลีย์ 0-1

อย่างไรก็ตาม ตราโอเร่ นับเป็นอีกหนึ่งแข้งตัวหลักภายใต้ยุคของ ราฟา เบนิเตซ และออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในเกมชิงชนะเลิศที่อิสตันบูลด้วย ครึ่งเวลาแรกเขาเป็นบ่อน้ำมันของทีมอย่างแท้จริง แต่ฟอร์มการเล่นของ ตราโอเร่ พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือในช่วงครึ่งเวลาหลังเมื่อเจ้าตัวป้องกันลูกยิงของ อันเดรีย เชฟเชนโก้ บนเส้นปากประตูให้ทีมยังมีโอกาสลุ้นคัมแบ็คก่อนที่จะจบลงด้วยชัยชนะอันสุดมหัศจรรย์ของ ลิเวอร์พูล

ในปี 2006 ปีต่อมาหลังจากคว้าแชมป์กับ ลิเวอร์พูล เขาตัดสินใจย้ายออกจากแอนฟิลด์ไปอยู่กับอีกหลายที่ทั้ง ชาร์ลตัน แอธเลติค, พอร์ทสมัธ, เบอร์มิงแฮม, โมนาโก และ มาร์กเซย ก่อนจะข้ามฝากไปยังสหรัฐอเมริกากับ ซีแอตเทิล ซาวน์เดอร์ และในปัจจุบันก็ทำงานเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมให้กับ ซีแอตเทิ่ล ซาวน์เดอร์ นั่นเอง

6. ชาบี อลอนโซ่

อีกหนึ่งสุดยอดมิดฟิลด์ระดับตำนานในวงการลูกหนัง โดยนับแต่ย้ายมาร่วมทีมในปี 2004 ในยุคของ ราฟา เบนิเตซ เจ้าตัวก็กลายเป็นหัวใจสำคัญในแดนกลางทันที และนับกว่าสามประสานมิดฟิลด์ยุคนั้นถือเป็นชุดที่ดีที่สุดในรอบนับ 10 ปีก็ว่าได้ เมื่อพวกเขามีนักเตะแดนกลางครบเครื่องทั้งบู๊และบุ๋นอย่าง ฮาเวียร์ มาสเคราโน่, สตีเว่น เจอร์ราร์ด และ ซาบี อลอนโซ่ และนี่คือฮีโร่ฮิสตันบลูเมื่อเขาเป็นคนยิงจุดโทษตีเสมอ 3-3 ให้กับ ลิเวอร์พูล ในรอบชิงชนะเลิศ

ในปี 2009 ลิเวอร์พูล ตัดสินใจขาย อลอนโซ่ ให้กับ เรอัล มาดริด อันนำมาซึ่งหัวใจที่แตกสลายของแฟนหงส์แดง ด้วยค่าตัวราว 30 ล้านปอนด์ ซึ่งในปัจจุบัน ลิเวอร์พูล ก็ยังไม่สามารถหาใครมาทดแทนในตำแหน่งแดนกลางนี้ได้ แน่นอนว่า ย้ายไปอยู่ เรอัล มาดริด อลอนโซ่ กลายเป็นกำลังหลักของราชันชุดช่วยทีมคว้าแชมป์อีกมากมายหลายรายการทั้งแชมป์ลาลีกาและยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก สมัยที่ 10 ก่อนย้ายสลับฟากกับ โทนี่ โครส ไปค้าแข้งอยู่กับ “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค ในปี 2014 พร้อมกับช่วยทีมค้วาแชมป์บุนเดสลีกา

ทั้งนี้หลังจากหมดสัญญากับ บาเยิร์น มิวนิคเมื่อต้นปี 2017 ที่ผ่านมา เจ้าตัวตัดสินใจประกาศอำลาสังเวียดฟาดแข้ง พร้อมกับเดินหน้าเรียนรู้บทบาทการเป็นผู้จัดการทีม ซึ่งในปัจจุบันเขาคุมทีมเยาวชนรุ่นอายุไม่เกิน 13 ปี ซึ่งทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม นำ เรอัล มาดริด รุ่นอายุไม่เกิน 13 ปี คว้าแชมป์ลีกยเยาวชนของสเปน

7. หลุยส์ การ์เซีย

แฟนบอลลิเวอร์พูลต่างยังจดจำผลงานของเขาในปี 2005 ได้เป็นอย่างดี ลูกง่ายไม่ชอบต้องยิงลูกยาก โดยเขาเป็นคนทำสกอร์ในเกมกับ ยูเวนตุส ในศึกแชมเปี้ยนส์ลีกรอบ 8 ทีมสุดท้ายเช่นเดียวกับยิงได้ในนัดที่เจอเชลซีในรอบรองชนะเลิศ ซึ่ง โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือเชลซีได้ให้คำจำกัดความถึงประตูดังกล่าวว่าเป็น “ประตูที่ไม่เคยเกิดขึ้น”
หลุยส์ การ์เซีย ตัดสินใจย้ายออกจากแอนฟิลด์ กลับไปสเปนอีกครั้งในเดือนกรกฎาคม 2007 โดยค้าแข้งกับ แอตเลติโก มาดริด หลังจากนั้นก็พเนจรไปเรื่อยทั้ง ราซิ่ง ซานตานเดร์, พานาธิไนกอส ในกรีซ, ปูเอบลา เอฟซี และ คลับ อูนิเวร์ซิดัด นาซิอองนาล ของเม็กซิโก

จากนั้นพักค้าแข้งไป 1 ปี ก่อนลงเอยด้วยการผจญภัยที่อินเดีย ฤดูกาล 2014/2015 กับ แอตเลติโก เด โกลกาต้า เป็นเวลา 1 ฤดูกาล และ พักงานอีก 1 ครั้งก่อนกลับมาเล่นให้ เซ็นทรัล โคสต์ มาริเนิร์ส สโมสรในออสเตรเลีย เป็นเวลา 1 ฤดูกาล

ปัจจุบันเจ้าตัวยังทำงานเป็นทูตสโมสรลิเวอร์พูล รวมไปถึงเดินสายโปรโมตงานการกุศลให้กับ บาร์เซโลน่า อีกด้วย ส่วนการทำงานในวงการสื่อ หลุยส์ การ์เซีย เป็นผู้บรรยาย, คอมเมนเตเตอร์ และนักวิเคราะห์ฟุตบอลให้กับ beIN Sport ในปัจจุบัน

8. สตีเว่น เจอร์ราร์ด

อดีตกัปตันทีมชาติอังกฤษ และกัปตันระดับตำนานของ ลิเวอร์พูล ที่เป็นขวัญใจของเหล่า เดอะ ค็อป ทั่วโลก ทุกเพศทุกวัย แม้ว่าเกือบทำแฟนกงส์แดงใจสลายด้วยการจะย้ายไปเล่นให้กับ เชลซี อยู่ช่วงหนึ่งแต่ท้ายที่สุดก็เล่นให้กับ ลิเวอร์พูล ต่อ ซึ่งหลาย ๆ คนคาดว่า เจอร์ราร์ด จะแขวนสตั๊ดที่แอนฟิลด์ แต่เจ้าตัวกลับตัดสินใจย้ายหลังจากที่ ลิเวอร์พูล ไม่ยื่นสัญญาใหม่ให้เขาในช่วงซัมเมอร์ปี 2014 รวมที่การที่ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ไม่สงเขาลงเล่นเกมสำคัญ

สตีเว่น เจอร์ราร์ด เป็นเด็กฝึกหัดของสโมสร ลิเวอร์พูล มาตั้งแต่อายุ 9 ปี ก่อนถูกดันขึ้นทีมชุดใหญ่ในปี 1998 โดยตลอด 17 ปีในการค้าแข้งของเจอร์ราร์ดพาทีมลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ทั้งหมด 10 รายการด้วยกันไม่ว่าจะเป็นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก (2005), ยูฟ่าคัพ (2001), ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ (2001, 2005), เอฟเอ คัพ (2001, 2006), คอมมูนิตี้ ชิลด์ (2006) และ ลีกคัพ (2001, 2003, 2012)

ขณะที่เกียรติประวัติส่วนตัวนั้น เขาได้ถูกเลือกให้ติดทีมยอดเยี่ยมประจำปีของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ 8 ครั้ง และยังติดทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของยูเอฟ่า และทีมยอดเยี่ยมของฟีฟ่า ฟิฟโปร อีกอย่างละ 3 ครั้งด้วยกัน นอกจากนี้ยังสวมปลอกแขนกัปตันทีมชาติอังกฤษลงเล่นในศึกฟุตบอล ยูโร 2012 และ ฟุตบอลโลก 2014 อีกด้วย ก่อนจะประกาศเลิกเล่นให้กับทีมชาติหลังจากจบทัวร์นาเม้นต์ที่บราซิล

เจอร์ราร์ด ย้ายออกจากสโมสร ลิเวอร์พูล และบ้านเกืดในเมื่อง ลิเวอร์พูล มาเล่นให้กับ แอลเอ กาแล็คซี่ ในศึก เมเจอร์ลีก ซอคเกอร์ เป็นเวลา 1 ฤดูกาล ก่อนจะตัดสินใจอำลาสังเวียนฟาดแข้งในปี 2016 และกลับมาทำงานให้กับสโมสรที่เขารัก ในฐานะโค้ชทีม ลิเวอร์พูล รุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี ก่อนรับงานคุมทีม เรนเจอร์ส ทีมชุดใหญ่อย่างเป็นทางการในปัจจุบัน

9. ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่

เขาคือนักเตะที่ติดทีมชาติมากที่สุดของนอร์เวย์ ซึ่งขณะนี้เล่นในซูเปอร์ลีกของอินเดียหลังจากที่เซ็นสัญญากับเดลี ไดนาโมส์ เอฟซี เมื่อเดือนสิงหาคม รีเซ่เซ็นสัญญากับ ลิเวอร์พูล ในเดือนสิงหาคมปี 2001 และเพียงแค่การลงสนามนัดแรกก็เปิดตัวได้สวยงามเมื่อทำประตูให้ทีม เอาชนะ บาเยิร์น มิวนิค ไป 3-2 ในรายการ ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ โดยเจ้าตัวลงสนามให้ลิเวอร์พูลทิ้งสิ้น 348 นัด ยิงได้ 31 ประตู ก่อนจะย้ายไปเล่นให้กับโรม่า ในฤดูกาล 2008/2009 และเป็นที่ชื่นชอบของแฟนบอลโรม่าทันที

จากความมุ่งมั่นและยังยิงประตูใส่ 2 ทีมจากมิลานได้ตั้งแต่ฤดูกาลแรกของตัวเอง ก่อนจะย้ายกลับมาเล่นอังกฤษกับ ฟูแล่ม ในเดือนกรกฎาคม 2011 และหลังจากนั้นก็เซ็นสัญญากับ อาโปเอล ในไซปรัสเป็นเวลา 1 ฤดูกาล แล้วโยกมาค้าแข้งต่างทวีปที่อินเดียในเวลาต่อมา

ปัจจุบัน รีเซ่ เป็นพรีเซนเตอร์ให้กับสินค้าหลากหลาย รวมไปถึงเดินสายร่วมงานกุศลต่าง ๆ และล่าสุดประกาศบนอิสตาแกรมส่วนตัวของว่าในตอนนี้เขาได้ผันตัวมาเป็นเอเย่นต์นักเตะอย่างเต็มตัว ซึ่งหากนักเตะคนไหนอยากร่วมงานกับเขาสามารถติดต่อเขาได้เลย

10. แฮร์รี่ คีเวลล์

อดีดตาวเตะหมายเลข 7 ย้ายจาก ลีดส์ ยูไนเต็ด มาร่วมทัพ ลิเวอร์พูล ตั้งแต่ปี 2003 และแม้ว่าตัวเขาจะมีอาการบาดเจ็บเป็นระยะๆตลอดเวลาที่ลงเล่นในถิ่นแอนฟิลด์ แต่ คีเวลล์ ก็มีโอกาสได้ลงสนามในรอบชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อปี 2005

ที่จริงรายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนามในวันนั้นไม่มีชื่อของอดีตตำนานทีมชาติออสเตรเลีย แต่สุดท้าย ราฟา เบนิเตซ เลือก คีเวลล์ ลงสนามก่อน ดีทมาร์ ฮามันน์ กองกลางตัวเก๋าทีมชาติเยอรมัน ทว่าช่วงเวลาแห่งความทรงจำของปีกจอมเทคนิครายนี้กลับมามีอายุเพียง 23 นาที เมื่อตัวเขาได้รับบาดเจ็บจนต้องถูกเปลี่ยนตัวออกไปในที่สุด

คีเวลล์ ย้ายออกจากลิเวอร์พูลไปร่วมทีม กาลาตาซาราย ในปี 2008 ซึ่งตลอดช่วงเวลาที่ค้าแข้งในถิ่นตุรกี เขาเป็นที่รักของแฟนบอล พร้อมกับมีสถิติการยิงประตูในทุก ๆ 3 เกม ก่อนที่ในช่วงท้ายของอาชีพ คีเวลล์ จะกลับไปเล่นในบ้านเกิดก่อนประกาศอำลาสังเวียนฟาดแข้งในปี 2014
ปัจจุบันเจ้าตัวอยู่ในระหว่างการพักร้อนหลังโดนปลดจากการคุมทัพ น็อตส์ เคาท์ตี้ เนื่องจากผลงานที่ย่ำแย่

11. มิลาน บารอส

บารอส จัดเป็นนักเตะจอมพเนจรคนหนึ่ง เขาลงเล่นให้มากกว่า 10 สโมสรตลอดช่วงชีวิตการค้าแข้ง ซึ่งทุกวันนี้เขายังสนุกกับการลงสนาม ไฮไลท์ที่สำคัญที่สุดในชีวิตของ บารอส ก็คงหนีไม่พ้นกับช่วงเวลาอันยอดเยี่ยมกับ ลิเวอร์พูล

โดยเขาได้แชมป์ลีกคัพในปี 2003 พร้อมกับได้ลงสนามในเกมรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก โดยในเกมกับยอดทีมแห่งเมืองมิลาน ดาวซัลโวฟุตบอลยูโร 2004 มีเวลาอยู่ในสนามถึง 85 นาที ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนตัวให้ ฌิบริล ซิสเซ่ ลงสนามแทน และเขาคือผู้ทำถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ใบที่ 5 บุบเล็กน้อยด้วยการทำหล่นในโรงแรมหลังคว้าแชมป์

หลังจากนั้น ก่อนที่จะย้ายไปร่วมทีมแอสตัน วิลล่า, ลียง, พอร์ทสมัธ, กาลาตาซาราย และอีกหลายสโมสร อดีตกองหน้าทีมชาติเช็กในวัย 36 ปี ยังคงสนุกกับการเล่นฟุตบอลโดยค้าแข้งให้กับสโมสรในบ้านเกิดอย่าง บานิค ออสตราว่า ในปัจจุบัน

12. วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์

ดาวเตะที่ลงสนามให้ ลิเวอร์พูล 121 นัด และฝากผลงานไว้ 10 ประตู ถูกจดจำในฐานะนักเตะที่ทำให้ทีมกลับมาตีเสมอ เอซี มิลาน ได้ โดย ซมิเซอร์ ยิงไกลสุดสวยช่วยให้ทีมยิงตีตื้นไล่มาเป็น 2-3 ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบชิงชนะเลิศ และยังคงทำหน้าที่เพชรฆาตยิงจุดโทษได้อย่างยอดเยี่ยมในช่วงยิงตัดสินแชมป์

ซึ่งนั่นเป็นนัดสุดท้ายของเขากับยอดทีมแห่งเกาะอังกฤษ ซมิเซอร์ หมดสัญญากับ ลิเวอร์พูล ในปีนั้นและย้ายไปร่วมทัพ บอร์กโดซ์ แต่ช่วงเวลาของเขาในฝรั่งเศสกลับไม่ดีนัก อดีตปีกทีมชาติเช็กประสบปัญหาอาการบาดเจ็บอย่างรุนแรง จนถึงขั้นต้องหยุดเล่นไปหนึ่งปีและเกือบที่จะเลิกเล่นไปแล้ว จนสุดท้าย ซมิเซอร์ ตัดสินใจกลับบ้านเกิดไปเล่นให้กับสโมสรแรกที่ปลุกปั้นเขามาอย่าง สลาเวีย ปราก พร้อมกับช่วยให้ทีมได้แชมป์ลีกครั้งแรกในรอบ 12 ปี

ในปี 2009 เขาตัดสินใจยุติเส้นทางการค้าแข้ง ก่อนที่จะเข้าร่วมเป็นทีมงานสต๊าฟโค้ชให้กับทีมชาติของตนเอง และปี 2014 ซมิเซอร์ ยังลงสมัครเลือกตั้งส.ส.ในประเทศ ซึ่งแม้เขาจะยังไม่ได้รับชัยชนะ แต่ยังไม่ล้มเลิกเป้าหมายลดน้ำหนักของเด็ก ๆ และเยาวชนภายในเช็กให้ได้มากที่สุด รวมไปถึงยังคงวนเวียนกลับมาร่วมงานเป็นทูตสัมพันธไมตรี และเดินสายเตะการกุศลให้กับ ลิเวอร์พูล จนถึงทุกวันนี้

13. ดีทมาร์ ฮามันน์

หลังจากที่ทีมเป็นฝ่ายตามหลังถึง 3 ประตู ราฟา เบนิเตซ จึงตัดสินใจส่งกองกลางที่มีชื่อเล่นว่า “ดีดี้” ลงสนาม ซึ่งหลังจากนั้น เราคงต้องไม่เล่าอะไรกันมากมายเขาคือผู้ลงมาเปลี่ยนเกมอย่างแท้จริง

หลังจากนั้นในปี 2006 ฮามันน์ ย้ายไปเล่นกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในยุคที่ยังไม่ร่ำรวยเช่นปัจจุบัน ก่อนที่ย้ายไปเป็นรับบทบาทผู้เล่นและโค้ชให้กับ มิลตัน คีนส์ ดอนส์ รวมทั้งยังส่งท้ายอาชีพด้วยการเป็นสต๊าฟฟ์โค้ชทีมชุดใหญ่ให้กับ เลสเตอร์ และผู้จัดการทีม สต็อกพอร์ท ในปี 2011 อีกด้วย

ปัจจุบันเขาทำงานด้านสื่อ หลังจากลองรับงานคุมทีมมาอยู่บ้างแต่ดูท่าไม่ช่แนวทาง เขามักจะเป็นแขกในรายการ Match of the day ของ BBC และแขกรับเชิญของ Sky Sport รวมถึง LFC TV ของสโมสร และยังรับงานเป็นทูตสัมพันธไมตรีให้กับสโมสร ลิเวอร์พูล ตามโอกาส

14. ฌิบริล ซิสเซ่
14. ฌิบริล ซิสเซ่

อดีตดาวยิงทีมชาติฝรั่งเศสย้ายมาร่วมทีมตั้งแต่ปี 2004 และมีผลงาน 24 นัด 5 ประตูในช่วงแรก แต่สิ่งที่น่าเห็นใจกับ ซิสเซ่ ที่สุด คงหนีไม่พ้นการถูกเสียบอย่างรุนแรงจนทำให้ ขาหักสองท่อน ในเกมพบ แบล็คเบิร์น ในปีเดียวกัน จนทำให้ปีแรกของเขากับ ลิเวอร์พูล เกือบจะจบลงด้วยความเศร้า

แต่ 6 เดือนต่อมา ดาวยิงเคราแพะกลับมาลงสนามได้อย่างน่ามหัศจรรย์ โดยเกมแรกที่ ซิสเซ่ ได้ลงเล่นคือ เกมพบกับ ยูเวนตุส ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ ก่อนที่เขาจะเป็นหนึ่งในมือสังหารจุดโทษในเกมรอบชิงชนะเลิศกับมิลาน และได้แชมป์ยุโรปในปีแรกที่ย้ายมาทันที อย่างไรก็ตามโชคชะตายังคงไม่หยุดเล่นตลก ซิสเซ่ ขาหักอีกครั้งระหว่างการรับใช้ทีมชาติฝรั่งเศสในช่วงเตรียมทีมก่อนฟุตบอลโลก ซึ่งนั่นทำให้เขาอดเล่นฟุตบอลโลก 2006

อดีตดาวยิงหมายเลข 9 ได้ผ่านสมรภูมิทั่วโลกทั้ง มาร์กเซย, ซันเดอร์แลนด์, พานาธิไนกอส, ลาซิโอ, ควีนปาร์ค เรนเจอร์, อัล ฆอรอฟะฮ์, คูบาน กราสโนดาร์ รวมถึง บาสเตีย อย่างไรก็ตาม เคยประกาศเลิกเล่นไปแล้วรอบหนึ่งเมื่อเดือนตุลาคมปี 2015 หลังต้องเข้ารับการผ่าตัดอาการบาดเจ็บสะโพก อย่างไรก็ดี เจ้าตัวยังสามารถกัดฟันกลับมาลงสนามช่วย บาสเตีย ในช่วงท้ายฤดูกาลนั้น

ซิสเซ่ กลายเป็นนักเตะไร้สังกัดหลังลงเล่นให้ทีมในฝรั่งเศสบ้านเกิดอย่าง แซงต์ ปิแอร์รัวส์ เป็นสังกัดสุดท้ายเมื่อปี 2015 และตัดสินใจประกาศอำลาอาชีพค้าแข้งเมื่อกุมภาพันธ์ ช่วงต้นปี 2017 ที่ผ่านมา จากนั้นผันตัวไปเป็นดีเจและมุ่งมั่นทำธุรกิจแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเองอยู่ไม่สักพัก แต่ก็ทนเสียงเรียกร้องจากจิตใต้สำนึกที่ค้าแข้งมาเกือบทั้งชีวิตไว้ไม่ไหว

ดาวเตะวัย 35 ปี ดีกรีทีมชาติฝรั่งเศส เปิดตัวเป็นผู้เล่นใหม่ของ อีแวร์ดง สปอร์ต สโมสรในลีกระดับสามของสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมเซ็นสัญญาเป็นเวลา 1 ปี เมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2017 ก่อนย้ายมาร่วมทีม เอซี วิเซนซ่า ในศึก เซเรีย ดี อิตาลี เมื่อสิงหาคมที่ผ่านมานี้เอง

15. อีกอร์ บิสคาน

ได้ขึ้นชื่อว่า “นิวโบบัน” แต่อย่างว่าผู้ที่ได้รับยศตำแหน่งนำหน้าว่านิวมักจะลงเอยไม่สวยนัก บิสคาน เป็นได้แค่ตัวสำรองให้กับ ลิเวอร์พูล

บิสคาน ย้ายออกจากแอนฟิลด์ไปเล่นให้กับ พานาธิไนกอส ในปี 2005 ก่อนย้ายไปเล่นให้กับ ดินาโม ซาเกร็บ ในปี 2008 และเขาเพิ่งประกาศเลิกเล่นในปี 2012 หลังจากช่วย ดินาโม ซาเกร็บ เป็นแชมป์ลีกสมัยที่ 8 สมัย ซึ่งเป็นการกลับไปค้าแข้งเป็นหนที่ 2 กับสโมสรแรกในอาชีพค้าแข้งของเจ้าตัว ก่อนย้ายมาเล่นกับ ลิเวอร์พูล ในปี 2000

บิสคาน ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีม โอลิมปิจา ลจุบจาน่า ทีมในสโลวีเนีย เมื่อต้นฤดูกาล 2017 ที่ผ่านมา โดยผ่านการเป็นผู้ช่วยกุนซือ และก้าวขึ้นมาเป็นกุนซือ 1 ฤดูกาลกับ รูเดส สโมสรในโครเอเชีย จนสามารถเลื่อนชั้นขึ้นมาจากลีกอันดับ 2 ของโครเอเชีย มาสู่ ลีกสูงสุดได้ จึงได้รับความไว้วางใจจาก โอลิมปิจา ลจุบจาน่า ให้คุมทัพ ก่อนที่จะพ้นจากตำแหน่ง และปัจจุบันเจ้าตัวคุมทีม ริเยก้า สโมสรในลีกสูงสุดของ โครเอเชีย

- เปี๊ยกบางใหญ่ -

 

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0