เราอาจเคยฮือฮาที่เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจีนสวมแว่นที่มาพร้อมเทคโนโลยีวิเคราะห์ใบหน้าในสถานีรถไฟยักษ์ใหญ่กันมาแล้ว แต่ในโลกตะวันตก ก็เป็นที่ฮือฮาขึ้นมาเช่นกัน เมื่อมีการเปิดเผยว่า เทย์เลอร์ สวิฟท์ (Taylor Swift) ศิลปินชื่อดังมีการนำเทคโนโลยี Facial Recognition มาใช้กับแฟน ๆ ที่เข้าชมคอนเสิร์ตของเธอที่โรส โบวล์ แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาด้วย
สำหรับการใช้เทคโนโลยี Facial Recognition ของเทย์เลอร์ สวิฟท์นั้น เป็นการใช้เพื่อวิเคราะห์ว่า ในหมู่ผู้เข้าชมการแสดงนั้นมีใครบ้างหรือไม่ที่เป็นสตอล์กเกอร์ (Stalker) หรือพวกที่ชอบติดตามดาราและก่อความรำคาญ โดยทีมงานจะตั้งเป็นตู้คีออส เพื่อฉายคลิปวิดีโอของเธอเพื่อดึงผู้ที่สนใจให้เข้ามาชม และจะมีกล้องซ่อนไว้เพื่อส่งภาพของคนเหล่านั้นกลับไปเปรียบเทียบกับภาพของสตอล์กเกอร์หรือผู้ที่เสี่ยงว่าจะเป็นสตอล์กเกอร์ในฐานข้อมูล
ผู้ที่ออกมาเปิดเผยว่าเทย์เลอร์ สวิฟท์ เคยใช้เทคนิคนี้คือ ไมค์ ดาวนิ่ง ผู้บริหารฝ่ายซีเคียวริตี้ของโอ๊ค วิว กรุ๊ป ที่เผยว่าเทคนิคนี้ใช้ได้ดี เพราะสามารถดึงผู้คนเข้ามาหยุดยืนที่หน้าตู้ เพื่อให้ซอฟต์แวร์ทำงานได้ และนั่นทำให้เห็นว่า เทคโนโลยี Facial Recognition นั้นไม่ได้เหมาะแค่ใช้ปลดล็อกหน้าจอโทรศัพท์มือถือแค่อย่างเดียวอีกต่อไป แต่ได้ขยายความสามารถมายังวงการบันเทิงสหรัฐอเมริกาด้วยแล้ว
อย่างไรก็ดี ในบางรัฐ การใช้งานเทคโนโลยี Facial Recognition อาจไม่ถูกกฎหมาย เนื่องจากยังมีกลุ่มสิทธิมนุษยชนที่มองว่า การสแกนใบหน้าโดยไม่ได้ขออนุญาตนั้นเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม นอกจากนั้น บริษัทอย่างไมโครซอฟท์ก็เคยมีการร้องไปยังสภาคองเกรสให้หาทางควบคุมการใช้งานเทคโนโลยี Facial Recognition ในพื้นที่สาธารณะ ว่าบริษัทที่จะเก็บภาพเพื่อไปวิเคราะห์นั้นควรมีการติดป้ายแจ้งเตือนประชาชนด้วย เพื่อที่ว่าประชาชนรายใดที่ไม่ต้องการให้ภาพของตัวเองติดเข้าไป จะได้หลีกเลี่ยงได้สะดวก
สำหรับกรณีของเทย์เลอร์ สวิฟท์นั้น ที่ผ่านมา เธอถูกสตอล์กเกอร์รังควานชีวิตอย่างหนัก เช่น รายของ Eric Swarbrick ที่ส่งจดหมายข่มขู่ว่าจะข่มขืนและฆ่าเธอมาตั้งแต่ปี 2559 หรือจูเลียส แซนด์ร็อค ที่ถูกจับได้ขณะสวมหน้ากากและมีมีดอยู่ที่หน้าบ้านของเทย์เลอร์ สวิฟท์ โดยเขาบอกว่าขับรถมาจากโคโลราโดเพื่อมาพบนักร้องสาว ซึ่งยังไม่นับรวมสตอล์กเกอร์บางรายเข้าไปนอนบนเตียงของเธอ ถ่ายรูปกับบ้านเธอ ถ่ายรูปกับบ้านแม่ของเธอ หรือแม้กระทั่งขอแต่งงาน
เป็นไปได้ว่า ในอนาคต ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย การใช้งานเทคโนโลยี Facial Recognition ในที่สาธารณะอาจเพิ่มสูงขึ้น โดยอาจเป็นการจับมือของภาคธุรกิจกับสตาร์ทอัพด้านนี้โดยเฉพาะ
