นายพบชัย ภัทราวิชญ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเชียพลัส เปิดเผยถึงภาวะตลาดหุ้นไทยปิดที่ระดับ 1,612.03 จุด ลบ 24.45 จุด หรือ 1.49% ระหว่างวันเคลื่อนไหวสูงสุด 1,632.23 จุด และต่ำสุดที่ 1,610.18 จุด มูลค่าการซื้อขาย 36,386.61ล้านบาทว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงตามตลาดหุ้นในภูมิภาคที่ส่วนใหญ่อยู่ในแดนลบ เช่น จีนลง 2.13% ญี่ปุ่นลง 1.09% ฮ่องกงลง 2.02% และสิงคโปร์ลง 1.24% ยกเว้น ฟิลิปปินส์บวก 0.45% หลังจากที่ดาวโจนส์เมื่อวานนี้ลงแรงกว่า 400 จุด ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปลง 1% นอกจากนี้ยังมีแรงขายในหุ้นกลุ่มขนาดใหญ่ ทั้งพลังงาน แบงก์ ขนส่ง ส่งออก ค้าปลีก สื่อสารและอสังหาริมทรัพย์กดหุ้นไทยลงต่ออีก
สำหรับปัจจัยลบยังเป็นปัจจัยเดิม ทั้งในเรื่องสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน เบร็กซิท การทำงบประมาณขาดดุลของอิตาลี ส่วนในประเทศติดตามพรรคการเมืองที่เตรียมยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เลื่อนการตั้ง สส. ออกไป 30 วัน จากที่กำหนดไว้ในวันที่ 24 ก.พ. 2562 เป็นช่วงปลายเดือน มี.ค.62 ส่วนวันนี้กกต.ได้ประกาศวันเลือกตั้งสว.ทั้งระดับจังหวัด ระดับประเทศเรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้ติดตามโครงการช้อปช่วยชาติหลังจากที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีสั่งให้คลังไปดำเนินการโครงการดังกล่าว ซึ่งขณะนี้มองว่านักลงทุนไม่กล้าลงทุนในตลาดหุ้น และบางรายโยกเงินไปลงทุนสินทรัพย์ปลอดภัยในพันธบัตรเพิ่มเติมเห็นได้จากผลตอบแทนพันธบัตร(บอร์นยิวด์) ที่ปรับตัวลง อย่างไรก็ตาม แนวโน้มตลาดหุ้นในพรุ่งนี้ยังไซด์เวย์ หรือไซด์เวย์ดาวน์ กลยุทธ์การลงทุนแนะนำหุ้นบิ๊กแคปที่ปรับตัวลงแรง และพื้นฐานแกร่ง ผลประกอบการดี ปันผลสูง เช่น วัสดุก่อสร้าง รับเหมาก่อสร้าง ค้าปลีก พลังงาน แบงก์ เป็นต้น มองแนวรับ 1,595 จุด แนวต้าน 1,615 จุด ซึ่งหากดัชนีลงใกล้แตะ 1,600 จุดน่าจะมีแรงซื้อกลับใครมีหุ้นในพอร์ตยังไม่ควรคัทลอส เพราะน่าจะเห็นการรีบาวน์กลับ ส่วนใครที่ไม่มีในพอร์ตควรทยอยสะสม