โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

ตลาดหุ้นทั่วโลกเข้าสู่ภาวะ “Bear Market”

Money2Know

เผยแพร่ 20 พ.ย. 2561 เวลา 05.48 น. • money2know - เงินทองต้องรู้
ตลาดหุ้นทั่วโลกเข้าสู่ภาวะ “Bear Market”

ตลาดหุ้นอลล์สตรีทตกอยู่ในภาวะซบเซาอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่มีการปรับฐานราคาร่วงลงระหว่างชั่วโมงซื้อขายอย่างรุนแรงถึง2% ทั้งดาวโจนส์ที่ดิ่งลงมากกว่า450 จุดและดัชนีS&P 500 ที่หลุดระดับ2,700 โดยเฉพาะแรงกระหน่ำขายหุ้นเทคโนโลยีกลุ่มFANG ที่ทำให้Nasdaq ดิ่งลงมากกว่า3%

ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อวันจันทร์ที่ 25,017 ร่วงลง 395.78 จุด หรือ 1.56% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,690 ร่วงลง 45.54 จุด หรือ 1.66% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,028 ดิ่งลง 219.40 จุด หรือ 3.03%

นักลงทุนเทขายหุ้น Apple ดิ่งลงถึง 4% หลังจากบริษัทปรับลดคำสั่งผลิต iPhone ใหม่ทั้ง 3 รุ่นที่เพิ่งมีการเปิดตัวในเดือนกันยายนที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐและจีนในช่วงหลายเดือนก่อนหน้านี้ ซึ่งจะส่งผลต่อภาวะการค้าโลกที่ชะลอตัวลง

นอกจากนี้ หุ้นในกลุ่ม FANG อื่นล้วนร่วงลง โดย Facebook ดิ่งลง 5.7%, Amazon ดิ่งลง 5.1%, Netflix ดิ่งลง 5.5% และ Alphabet บริษัทแม่ของ Google ร่วงลง 3.8%

หุ้นหลักๆ ในกลุ่ม FANG ที่ดิ่งลงมากกว่า 20% ในปีนี้ คือ หุ้น Apple ดิ่งลง 20% หุ้น Amazon ก็ดิ่งลง 25% และหุ้น Facebook ดิ่งลงมากกว่า 39%

บรรยากาศความซบเซาของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทยังส่งผลต่อภาวะซื้อขายหุ้นในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ หรือ EM (Emerging Market) ด้วย โดย SCB Research รายงานว่า MSCI Emerging Market ETF ปิดวานนี้ลดลง 1.3% และ MSCI Thailand ETF ปิดลดลง 1.8% เป็นปัจจัยกดดันต่อดัชนีราคาหุ้นไทยในเช้านี้ 

ดัชนีหุ้นไทยเช้าวันนี้ มีการปรับตัวลง 0.91% สู่ระดับ 1,621 ตามทิศทางตลาดหุ้นเอเชีย นำโดยดัชนี NIKKEI 225 ญี่ปุ่นร่วงลงมากกว่า 1.09% ดัชนี SSE Composite จีน ลดลง 0.71% ดัชนี HSI ฮ่องกงร่วงลง 1.25% ดัชนี KOSPI เกาหลีใต้ร่วงลง 1.23% ดัชนี FTSE สิงคโปร์ลดลง 0.98% 

ทั้งนี้ Morgan Stanley เรียกตลาดหุ้นวอลล์สตรีทว่าตกอยู่ในภาวะตลาดหมี(Bear Market) ที่มีความเสี่ยงในขาลง หลังจากที่คาดการณ์ว่า ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาด S&P 500 ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐจะย่ำแย่ลงจนถึงช่วงปลายปีนี้ หลังจากที่มีการปรับฐานราคาร่วงลงถึง 6.7% แล้วในปีนี้ เนื่องจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และการชะลอตัวลงของตลาดการค้าโลก

อีกทั้งแถลงการณ์ของเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด เมื่อสัปดาห์ก่อนยอมรับเศรษฐกิจของสหรัฐแม้จะยังคงเติบโตแข็งแกร่ง แต่มีแนวโน้มชะลอตัวลง ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลมากเกินไป 

จากโพลล์สำรวจคนอเทริกันก่อนการเลือกตั้ง midterm นั้นชี้ว่า คนอเมริกัน 38% บอกว่ามีชัวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นนับจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อปี 2016 แต่ 17% บอกว่าแย่ลง และอีก 45% บอกว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ย่อมสะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐยังต้องมีมาตรการกระตุ้นทางการคลังเข้ามาช่วยหลังจากที่เฟดยังคงกดดันตลาดด้วยการดูดซับม็ดเงิน QE ซึ่งถือเป็นการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น

นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า วัยรุ่นอเมริกันที่เพิ่งจบการศึกษายังต้องใช้เงินอุดหนุนของรัฐบาล เพราะอยู่ในระหว่างการนั่งรอเรียกตัวเข้าทำงานอยู่ถึง 50% 

ท่ามกลางการตอกย้ำของเฟดถึงการเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปช่วงปลายปีนี้ ซึ่งเฟดจะมีการประชุมนัดสุดท้ายในวันที่ 18-19 ธันวาคม โดยตลาดคาดว่าเฟดจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 4 ในปีนี้อีก 0.25%

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0