กลายเป็นข่าวต่อเนื่องมาหลายวันสำหรับ "แจ๊ค หม่า" แห่งอาณาจักรอาลีบาบา ที่ออกมาแสดงความเห็นกรณีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนรอบใหม่ และขู่ว่าจะเก็บมากกว่านี้อีก 267,000 ล้านดอลลาร์ หากทางการจีนตอบโต้
"แจ๊ค หม่า" เตือนว่าสงครามการค้าในครั้งนี้น่าจะยืดเยือยาวนานนับสิบปี และบอกว่าจะได้รับผลกระทบกันหมด "มีคนชนะการต่อสู้ แต่ทุกคนจะพ่ายแพ้ต่อสงครามครั้งนี้" และเรียกร้องให้กันมาตกลงกันใหม่ ซึ่งอาจจำเป็นต้องปรับกติการค้าเสรีตามกรอบขององค์การการค้าโลก(WTO)ใหม่ ซึ่งเป็นกติกาที่สหรัฐนั่นแหละเป็นตัวตั้งตัวตีตั้งแต่ต้น
"แจ๊ค หม่า" มองว่าหากสงครามครั้งนี้ยืดเยื้อยาวนาน นักลงทุนทั้งจากจันและสหรัฐก็จะพากันเผ่นหันไปลงทุนหรือย้ายฐานการผลิตไปที่อื่น
วันต่อมา"แจ๊ค หม่า" ก็บอกอีกว่าสัญญาที่เคยให้ไว้กับประธานาธิบดีทรัมป์ว่าจะจ้างงานล้านตำแหน่งนั้น คงเป็นไปไม่ได้ เพราะสงครามการค้าที่ขึ้นกระทบต่อการทำมาค้าขายโดยตรง
ตลาดหรือบรรดานักวิเคาะห์จับ"สัญญาณ"จากความเคลื่อนไหวของ"แจ๊ค หม่า"อย่างไร แม้ว่าที่ติดตามความเห็นต่างๆ จะไม่ได้กล่าวถึง"แจ๊ค หม่า" แต่แนวการวิเคราะห์ก็ได้รับอิทธิพลจากมุมมองของ"แจ๊ค หม่า" ไม่น้อย
ทำไมจึงต้องให้ความสำคัญกับความเห็นของ"แจ๊ค หม่า" ซึ่งหากใครรู้ว่าเขาเป็นใครก็คงไม่ต้องมีคำถามในประเด็นนี้ เพราะเขาย่อมรู้ลึกตื้นหนาบางของรัฐบาลจีนอย่างดี อีกทั้งมีข้อมูลเรื่องการค้าโลกค่อนข้างละเอียดจากอาณาจักรอีคอมเมิร์ซที่กระจายอยู่ทั่วโลก
ตลาดมองผลกระทบที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้อย่างไร?
1.ประธานาธิบดีทรัมป์ เก็บภาษีรอบใหม่ 200,000 ดอลลาร์ ในอัตรา 10% และจะขยับเพิ่มเป็น 25% ในปีหน้า และขู่ว่าจะเก็บเพิ่มอีก 267,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะแทบจะทั้งหมดของสินค้าที่นำเข้าจากจีน
งานนี้ต้องบอกว่าไม่ง่าย เพราะการไปบีบบังคับให้ประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของโลกให้มีการปรับตาม ซึ่งเป็นประเด็นที่ "แจ๊ค หม่า" มองว่าจะทำให้สงครามการค้ายืดเยื้อยาวนาน
2. "แจ๊ค หม่า" บอกว่าจะกระทบแผนการสร้างงานของอาลีบาบาในสหรัฐ ที่สัญญาไว้ว่าจะช่วยสร้างงาน 1 ล้านตำแหน่ง นั่นหมายความว่าไม่เพียงแต่จะกระทบกับจีนเท่านั้น แต่สหรัฐเองก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย
จากความซับซ้อนของระบบเศรษฐกิจยุคใหม่ ทำให้ขณะนี้มีการประเมินผลกระทบกันไปหลายด้าน แต่ยังไม่มีใครประเมินได้อย่างชัดเจนว่าผลกระทบจะมีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งจุดนี้เองจะทำให้ตลาดเฝ้าจับตาการเปลี่ยนแปลงของ"ดัชนี"ทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด และนั่นก็จะทำให้เกิดความผันผวนในตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลก
3. ใครจะชนะในศึกษาครั้งนี้ หากจับคำพูดของ"แจ๊ค หม่า" ก็จะเห็นว่าคนที่ชนะคือที่ไม่ได้อยู่ในความขัดแย้งนั่นเอง ซึ่งขณะนี้นักวิเคราะห์จำนวนมากเริ่มเห็นด้วยเสียแล้วว่าหากศึกยืดเยื้อยาวนานจริง นักลงทุนก็จะเผ่นจากจีน "จำนวนหนึ่ง" แต่ก็ยังอยู่ในจีน เพราะตลาดขนาดใหญ่ และหากจีนตอบโต้ ก็จะมีคนที่เผ่นออกจากสหรัฐ
แล้วนักลงทุนจะไปไหน?
ขณะนี้สายตาบรรดานักวิเคราะห์มองไปที่อาเซียนนี่แหละ จะเป็นแม่เหล็กขนาดใหญ่ที่ดึงดูดนักลงทุน นอกจากได้ประโยชน์จากประชาคมอาเซียนแล้ว ยังอยู่นอกเหนือสงครามการค้าโดยตรงในครั้งนี้ด้วย นักวิเคราะห์บางคนถึงขนาดเชื่อว่าจะเกิดการย้ายฐานมาในอาเซียนนี้แหละ
สงครามการค้านี้ คนที่ชนะคือประเทศในอาเซียนนั่นเอง