โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

ตลท.ชี้ช่องออมเงิน ‘กองทุนรวม’ ตอบโจทย์

ฐานเศรษฐกิจ

เผยแพร่ 17 พ.ย. 2562 เวลา 00.00 น.

ตลท.เผยการออมเงินผ่านกองทุนแอลทีเอฟเติบโตมากขึ้น ชี้วัตถุประสงค์หลักของกองทุนคือ ออมเงินในตลาดทุน แนะเลือกลงทุนผ่านเครื่องมือให้เหมาะสม ด้านบล.ทิสโก้ฯ เดินหน้าขอความชัดเจนกองทุนใหม่ทดแทนกองทุนแอลทีเอฟ  คลังขอเวลา 2 สัปดาห์เคาะ

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เปิดเผยว่า การออมเงินผ่านกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(แอลทีเอฟ) ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีจำนวนเพิ่มขึ้นและเติบโตมากขึ้น จากวัตถุประสงค์หลักของกองทุนแอลทีเอฟตั้งแต่แรก คือเกิดขึ้นเพื่อทำให้ผู้ที่ต้องการออมเงิน สามารถออมเงินในตลาดทุนได้มากขึ้น ถึงแม้ในปี 2562 จะเป็นปีสุดท้ายที่กองทุนแอลทีเอฟจะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี

อย่างไรก็ตาม มองว่าการออมเงินระยะยาวที่เหมาะสมที่สุด คือการออมเงินในตลาดทุน ผ่านเครื่องมือการลงทุนหลากหลายรูปแบบ เช่น การลงทุนในหุ้น กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์(REIT) และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน(อินฟราสตรักเจอร์ฟันด์) โดยต้องพิจารณาว่าหากต้องการออมให้ได้ผลตอบแทนในระยะยาว ควรออมด้วยวิธีไหน ซึ่งปัจจุบันเริ่มมีหลายส่วนที่สามารถตอบโจทย์ได้มากขึ้น และการที่กองทุนหุ้นจะมีขนาดโตขึ้นเรื่อยๆ ไม่จำเป็นต้องมีสิทธิประโยชน์ทางภาษีก็ได้

“นักลงทุนควรมีทางเลือกในการลงทุน โดยพิจารณาตัวเลือกการลงทุนว่าเหมาะสมกับการลงทุนในระยะสั้นหรือระยะยาวอย่างไรบ้าง ต่อให้ไม่มีสิทธิประโยชน์ทางภาษี ก็ต้องกลับมาคิดว่าจะระดมทุน หรือออมเงินอะไรผ่านอะไรบ้าง และที่สำคัญต้องคิดให้ดีว่าเป้าหมายระยะยาวของนักลงทุนเองต้องการอะไร เพราะการลงทุนของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน ทำให้วิธีการเลือกลงทุนก็จะไม่เหมือนกันอย่างแน่นอน ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่รับได้มากน้อยเท่าใด อัตราผลตอบแทนที่คาดหวังจะได้รับ รวมถึงการกระจายความเสี่ยงไปยังที่ต่างๆ ซึ่งเรื่องทั้งหมดเป็นสิ่งที่ตลท.ต้องดำเนินการ เพื่อให้นักลงทุนสามารถบริหารจัดการทุกด้านได้”

สำหรับตัวเลือกการลงทุนที่ตลท. ได้จัดทำไว้เพื่อเป็นทางเลือกของนักลงทุน ประกอบด้วย หุ้นเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี(Well-being), หุ้นยั่งยืน(Sustainability), หุ้นปันผลสูง(High dividend), หุ้นไทยที่ขยายธุรกิจใน CLMV (International exposure) และ กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน(Infrastructure) ทั้งนี้แนะนำนักลงทุนให้เลือกลงทุนโดยใช้เครื่องมือช่วย เช่น บริษัทหลักทรัพย์(บล.) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) และตัวแทนขายผลิตภัณฑ์ รวมถึงประเมินความสามารถของตนเองในการลงทุนให้เหมาะสมได้

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ฯ กล่าวว่า ในสัปดาห์หน้าจะเข้าพบนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อรับทราบความคืบหน้าและขอความชัดเจนเกี่ยวกับกองทุนรูปแบบใหม่ที่จะมาทดแทนกองทุน LTF ที่จะหมดสิทธิประโยชน์ทางภาษีในสิ้นปีนี้ รวมถึงหาแนวทางให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) สามารถเข้าถึงตลาดเงินตลาดทุนได้มากขึ้น อีกทั้งการให้ความรู้ด้านการลงทุนแก่ประชาชน เพื่อเพิ่มนักลงทุนในตลาดทุน และการพัฒนาตลาดทุน หลังจากจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาตลาดทุน

ขณะที่แนวโน้มตลาดหุ้นไทยปี 2563 มองว่ามีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นกว่าปีนี้ โดยดัชนีหุ้นไทยปีนี้ปรับขึ้นประมาณ 3% ซึ่งน้อยกว่าตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนา ทั้งนี้ปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นไทยจะคลี่คลายดีขึ้น เช่น สงครามการค้าสหรัฐฯกับจีน ที่คาดว่าการเจรจาการค้าจะมีการลงนามในเฟสแรก การออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ(เบร็กซิท) แบบมีข้อตกลงเกิดขึ้น และภาวะดอกเบี้ยระดับตํ่าจะเป็นปัจจัยหนุนอีกแรง

นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดตั้งกองทุนใหม่ แทนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF) ว่า ขณะนี้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) กำลังศึกษารายละเอียดกองทุนใหม่ ที่จะมาทดแทน LTF คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 2 สัปดาห์นี้ โดยกองทุนใหม่จะเน้นส่งเสริมการออมในระยะยาว และเข้าถึงประชาชนทุกกลุ่ม ทั้งผู้สูงวัย และวัยทำงาน และพยายามให้ตอบโจทย์ตลาดทุนมากที่สุด

หน้า 17-18 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,523 วันที่ 17-20 พฤศจิกายน 2562

                   

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0