ตามที่โรงพยาบาล บี.แคร์ เมดิคอลเซ็นเตอร์ ออกแถลงการณ์ชี้แจง กรณีผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา หรือ โควิด-19 (COVID -19) ว่า เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2563 ผู้ป่วยชายไทย มาด้วยอาการ ไข้ ไอ ผู้ป่วยปฏิเสธประวัติการเดินทาง ไปต่างประเทศ ในช่วงแรก กระทั่งจนยอมรับและส่งตัวไปยังรพ.รัฐในการแยกตัว ขณะที่ธนาคารธนชาตสั่งปิดสาขาดอนเมือง เนื่องจากพบว่าพนักงานคนหนึ่งมีครอบครัวเดินทางไปญี่ปุ่นจึงได้สั่งหยุด และให้ปิดสาขาเพื่อทำความสะอาดนั้น
ไทยพบผู้ป่วย “โควิด-19” อีกราย หลังเจ้าตัวปิดข้อมูลเดินทางปท.เสี่ยง
ไทยพบผู้ป่วย “โควิด-19” เพิ่มอีก 2 ราย แม่บ้าน-ผู้ใกล้ชิดนทท.
ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 26 ก.พ.2563 ที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวว่า สำหรับร่างประกาศให้โควิด-19 เป็นโรคติดต่ออันตราย คาดว่าบ่ายวันนี้(26 ก.พ.) จะแล้วเสร็จและรอประกาศใช้ต่อไป อย่างไรก็ตาม ในส่วนของสถานการณ์ผู้ป่วยนั้น เมื่อวาน(25 ก.พ.) พบผู้ป่วยจากเรือไดมอนด์ พรินเซส ซึ่งเขาไม่คิดว่าป่วยจะเดินทางไปเชียงใหม่ แต่เมื่อมีประกาศนี้เราจะสามารถเข้าไปอธิบายและขอให้เขาเดินทางกลับได้ จริงๆ สายการบินไม่ควรให้ขึ้นเครื่องมาเมืองไทย แต่ควรกักตัวเฝ้าระวัง 14 วัน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ได้ส่งตัวกลับแล้ว แต่โชคดีที่ทั้ง 2 คน ซึ่งเป็นสามีภรรยาเข้าใจ และยินดีกลับ โดยไม่ถึงขั้นต้องบังคับใช้กฎหมาย ถือเป็นเรื่องน่าชื่นชมความพยายามของเจ้าหน้าที่ด่านควบคุมโรคที่สนามบิน
“ อย่างรพ.บีแคร์ที่ออกมาชี้แจงเรื่องนี้ที่พบเชื้อ ก็เสี่ยงเป็น Super spreader เพราะลุงที่ป่วยตอนแรกก็ไม่ยอมบอกว่ามีประวัติเดินทาง และหากคุมไม่อยู่ เชื้อก็จะแพร่ได้ จะเหมือนของเกาหลีใต้ มีป้าแล้ว ที่แพร่เชื้อแบบ Super spreader เราไม่อยากมีคุณลุงมาแพร่เชื้อในไทย ดังนั้น ทางที่ดีที่สุดอย่าไปตอนนี้เลย” นายอนุทินกล่าว
นายอนุทิน กล่าวอีกว่า วันนี้(26 ก.พ.) ปลัดกระทรวงสาธารณสุข จะออกประกาศขอให้บุคลากรสาธารณสุข เจ้าหน้าที่สาธารณสุขทุกกรม กอง อย่าเพิ่งไปประเทศกลุ่มเสี่ยง หากจำเป็นก็ต้องปฏิบัติตัวป้องกันโรค ทั้งนี้ ผมขอความร่วมมือให้หน่วยงานราชการทุกหน่วยงานเลื่อนการประชุมไปประเทศที่กลุ่มเสี่ยง ขอให้เลื่อนไปก่อน รวมทั้งการไปเที่ยว การไปพักผ่อน ขอความร่วมมือเลี่ยงการไปก่อน ซึ่งที่ผ่านมาก็เห็นหลายหน่วยงานได้ทำไปแล้ว ต้องขอขอบพระคุณที่เป็นแบบอย่าง นอกจากนี้ ขออย่าเพิ่มไปซื้อพวกโปรโมชั่นตั๋วถูก เพราะค่าตั๋วถูก แต่ค่ารักษาแพง
นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ผู้ป่วยที่รักษาอยู่นั้น ขณะนี้หายดีกลับบ้านได้อีก 2 คน ทำให้อัตราการหายป่วยเป็น 24 ราย โดยผลการตรวจห้องปฏิบัติการทั้ง 2 แห่ง คือ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และจุฬาฯ พบว่ามีผู้ป่วยยืนยันพบเพิ่ม 3 ราย ชายไทยอายุ 65 ปี มีประวัติเดินทางไปเที่ยวฮอกไกโด ที่ญี่ปุ่น โดยกลับมามีไข้ 3 วัน และเข้ารักษาที่รพ.เอกชน โดยผลการตรวจเป็นบวก และส่งมายังรพ.ทรวงอก และรายที่ 2 เป็นภรรยาเที่ยวฮอกไกโดด้วยกัน มีไข้ และไอ ซึ่งได้รับการรักษาที่บำราศนราดูร เด็กอายุ 8 ขวบเป็นหลานอยู่ใกล้ชิดปู่ย่า ขณะนี้รักษาที่สถาบันบำราศนราดูรเช่นกัน โดยขณะนี้สธ.กำลังติดตามคนที่เดินทางไปในเที่ยวบินเดียวกัน และทริปเดียวกัน เบื้องต้นอาการปกติดี
“ขอย้ำว่าแม้จะพบเพิ่ม 3 ราย ก็ยังอยู่ระยะ 2 ไม่ถึงระยะ 3 ซึ่งยังไม่ถึงขั้น Super spreader โดยไม่ได้แพร่เชื้อในประเทศไทย แต่ยังเป็นการติดเชื้อจากต่างประเทศเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม เราต้องเน้นการควบคุมเข้ม เราตรวจคัดกรองเพิ่มขึ้นถึง 3 แสนคนต่อวัน เพื่อหากลุ่มเสี่ยงมากขึ้น” นพ.สุขุม กล่าว และว่า ทั้งนี้ ขอห้ามบุคลากรสาธารณสุขทุกคนเดินทางไปประเทศกลุ่มเสี่ยงที่มีการระบาด หากจำเป็นก็ต้องปฏิบัติตัวกักตัวเฝ้าระวัง 14 วันหลังจากกลับมา
เมื่อถามว่าขณะนี้ผู้ปกครองในโรงเรียนที่พบเด็ก 8 ขวบติดเชื้อจากปู่ย่า มีความกังวลมาก จะดำเนินการอย่างไร นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า กรมควบคุมโรคได้ลงพื้นที่ไปยังโรงเรียนแล้ว ซึ่งเราเข้าไปติดตามคนใกล้ชิด มีรายชื่อหมดแล้วและติดตามเฝ้าระวัง 14 วัน โดยให้นักเรียนในห้อง 50 คนหยุดเรียน
ด้านนายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข(รมช.สธ.) กล่าวว่า ขอวิงวอนคนไทยเดินทางไปประเทศกลุ่มเสี่ยง ขอให้รายงานข้อมูลประวัติการเดินทาง และเฝ้าระวัง 14 วัน ส่วนที่มีมาตรการลดราคาของสายการบิน อยากให้หยุดเที่ยวตอนนี้ เพราะเป็นการเพิ่มโอกาสเสี่ยงมากที่จะไปติดเชื้อในประเทศกลุ่มเสี่ยง แต่หากจำเป็นต้องไป และเมื่อกลับมาขอให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เพื่อจะได้ป้องกันการแพร่กระจาย ส่วนคนไทยที่อยู่ในประเทศไทย ไม่ได้ไปประเทศกลุ่มเสี่ยง ก็ขอให้ร่วมมือในการปฎิบัติตัว อย่างการไปในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง เป็นพื้นที่มีคนหนาแน่น ก็ต้องป้องกันตัวเอง สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ พบเจลแอลกอฮอล์
อนึ่ง สถานการณ์ ถึงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2563 ณ เวลา 08.00 น. ผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรักษาในโรงพยาบาล 16 ราย กลับบ้านแล้ว 24 ราย คิดเป็นร้อยละ 60 ของผู้ป่วยในประเทศไทย รวมสะสม 40 ราย โดยผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม – 25 กุมภาพันธ์ 2563 มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนต้องเฝ้าระวังสะสมทั้งหมด 1,798 ราย คัดกรองจากทุกด่าน 72 ราย มารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอง 1,726 ราย อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้วและอยู่ระหว่างติดตามอาการ 1,247 ราย ส่วนใหญ่เป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ยังคงรักษาในโรงพยาบาล 551 ราย
