เมื่อวันที่ 8 เมษายน สำนักข่าวของรัฐบาลซาอุดีอาระเบียประกาศระงับปฏิบัติการทางทหาร ในประเทศเยเมน เป็นเวลา 2 อาทิตย์ โดยมีผลตั้งแต่เวลา 22.00 น. ของวันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในเยเมน
การตัดสินใจครั้งดังกล่าว เกิดขึ้นภายหลัง มาร์ติน กริฟฟิธ ผู้แทนพิเศษองค์การสหประชาชาติยื่นข้อเสนอถึงซาอุดีอาระเบียและพันธมิตร รวมถึงกลุ่มติดอาวุธฮูติที่ยึดครองกรุงซานา เมืองหลวงและพื้นที่ทางเหนือของเยเมน ให้หยุดการสู้รบในทุกทางในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19
ในรายงานระบุว่า นอกจากเพื่อช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในเยเมนแล้ว ขณะเดียวกันยังเป็นการเปิดทางให้เกิดการเจรจาสันติภาพ ยุติความขัดแย้ง ระหว่างรัฐบาลประเทศเยเมน ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยซาอุดิอาระเบียและพันธมิตร กับกลุ่มติดอาวุธฮูตี ที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน
ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ที่จะมีประกาศนี้ออกมา โมฮัมหมัด อับดุลซาลาม โฆษกของกลุ่มติดอาวุธฮูตีกล่าวว่า ทางกลุ่มได้ยื่นข้อเสนอกับองค์การสหประชาชาติไปแล้ว โดยเสนอให้ยุติสงคราม และยกเลิกการปิดล้อมเยเมน แต่เขาทวีตข้อความเมื่อวันที่ 8 เมษายนว่า ข้อเสนอนี้วางอยู่บนฐานของการพูดคุยทางการเมือง ในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน
เยเมนยังเป็นไม่กี่ประเทศในโลกที่ไม่มีรายงานผู้ป่วยโควิด-19 แต่เจ้าหน้าที่หลายฝ่ายต่างกังวลว่า หากมีการระบาดเกิดขึ้นจะสร้างความเสียหายรุนแรงเกินไปสำหรับประเทศที่แตกสลายจากสงครามอยู่แล้ว กระทั่ง ซาอุดิอาระเบียเองก็ยังรับมือกับการแพร่ระบาดได้ไม่ดีนัก และมีเชื้อพระวงษ์ที่ติดเชื้อไปแล้ว
หลังทราบข่าว กริฟฟิธแสดงความยินดีกับคำประกาศนี้ และกล่าวว่าทุกฝ่ายต้องใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์และวางอาวุธทั้งหมดทันที นอกจากนี้ ต้องดำเนินการให้เกิดความพร้อมเพื่อมุ่งสู่การเจรจาสันติภาพ
ภายหลังการประกาศหยุดยิง คาลิด บิน ซัลมาน รัฐมนตรีกลาโหมของประเทศซาอุดิอาระเบียก็ได้โพสต์ทวิตเตอร์ว่า ซาอุดิอาระเบียจะมอบเงินจำนวน 500 ล้านดอลลาร์ ให้แก่องค์กรสหประชาชาติ สำหรับปฎิบัติการทางมนุษยธรรมในเยเมน และมอบอีก 25 ล้านดอลลาร์ สำหรับการต่อสู้กับโควิด-19
เยเมนเป็นหนึ่งในประเทศอาหรับที่ยากจนที่สุด มีการแย่งชิงอำนาจระหว่างรัฐบาลที่ลี้ภัยซึ่งได้รับการสนับสนุนจากซาอุดีอาระเบียและกลุ่มกบฏฮูตี ตั้งแต่ปี 2014 มีประชาชนเสียชีวิตมากกว่า 100,000 คน และเกิดวิกฤตทางมนุษยธรรรม ภาวะอดหยากทำให้ประชาชน 28 ล้านคนต้องอพยพและไร้ถิ่นฐาน
ที่มา:
https://www.nytimes.com/2020/04/08/world/middleeast/saudi-yemen-ceasefire-coronavirus.html
