เมืองไทย 360 องศา
ในที่สุด พรรณิการ์ วานิช ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ก็ได้ให้สัมภาษณ์ล่าสุดเมื่อวานนี้(19 มิถุนายน) หลังจากมีการเปิดโปงภาพถ่ายที่ส่อไปในทางมิบังควรจากการโพสต์ภาพดังกล่าวพร้อมกับสวมชุดครุยนิสิตมหาวิทยาลัยเมื่อหลายปีก่อน รวมไปถึงมีภาพถ่ายและข้อความอื่นๆต่างกรรมต่างวาระกันหลายครั้ง นำมาซึ่งการวิพากษ์วิจารณ์ ตำหนิติเตียน กราดเกรี้ยวจากสังคมในวงกว้าง โดยในคำพูดดังกล่าวเธอโอดครวญทำนองว่าเธอถูกกระทำหรือตกเป็นเหยื่อของการเมืองฝ่ายตรงข้ามที่นำเอาเรื่องสถาบันมาทำลายหรือสกัดกั้น เหมือนกับในอดีตที่หลายคนเคยโดนมาแล้ว พร้อมทั้งระบุว่าจากเรื่องดังกล่าวทำให้ครอบครัวของเธอ ทั้งพ่อ แม่ รวมทั้งเพื่อนฝูงของเธอพลอยได้รับความเดือดร้อนไปด้วย
"มีวาทะกรรมสร้างความเกลียดชัง จึงขอโทษที่ทำให้เกิดวาทะที่ไม่สร้างสรรค์ขึ้นมาในยามที่บ้านเมืองต้องการเดินไปข้างหน้า ส่วนผู้ที่ไปแจ้งความดำเนินคดีนั่น กระบวนการทางกฎหมายก็เป็นไปตามขั้นตอน"
"ตลอด 10 ปี ที่ผ่านมา ฝ่ายที่เป็นประชาธิปไตย หัวก้าวหน้ามักจะถูกสกัดกั้นทางการเมืองด้วยข้อหานี้ เพราะเป็นเรื่องที่ไม่สามารถแก้ตัวได้เลย แม้จะทำได้ แต่บั้นปลายชื่อเสียง ความน่าเชื่อถือทางสังคมหมดแล้ว อีกทั้งยังมีโทษหนัก จึงอยากขอร้องว่า อย่านำสถาบันพระมหากษัตริย์มาโจมตีทางการเมือง เชื่อว่าประเทศไทยมีจุดยืนร่วมกันแล้วเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ พรรคอนาคตใหม่ตัดสินใจเข้ามาทำงานทางการเมืองในระบอบรัฐสภา ย่อมชัดเจนแล้วว่าพรรคอนาคตใหม่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันพระมหากษัตริย์เป้นประมุข การทำงานในรัฐสภาต้องเดินไปทางนี้"พร้อมทั้งยืนยันว่าไม่ใช่สุดโต่ง แต่ในตอนนั้นนิสิตนักศึกษาต่อต้านการรัฐประหาร แต่ถูกป้ายสีว่าไม่จงรักภักดี โดยไม่มีทางแก้ตัว จนถูกสังคมตัดสินไปแล้ว" คำพูดตอนหนึ่งของเธอระหว่างให้สัมภาษณ์ระบุ
หากพิจารณาโดยรวมแล้วก็ต้องบอกว่า "ช่อ" หรือพรรณิการ์ วานิช พยายามจะสื่อว่าเธอถูกกระทำ ตกเป็นเหยื่อทางการเมือง ที่มีการนำสถาบันมาทำลายกัน โดยทำให้คนในครอบครัวของเธอรวมทั้งเพื่อนฝูงพลอยเดือดร้อนไปด้วย
แต่ความหมายอีกด้านหนึ่งก็คือ"พลิ้ว"นั่นแหละ เพราะในคำพูดดังกล่าวของเธอที่อ้างว่า"ตกเป็นเหยื่อ"ทางการเมือง ที่ยกเอาเรื่องสถาบันมาทำลายกัน รวมไปถึงอ้างว่า"ฝ่ายประชาธิปไตยรวมทั้งฝ่ายก้าวหน้า"ก็โดนแบบเดียวกันด้วย ซึ่งในความหมายแม้จะได้บอกไว้ชัด ก็คงหมายถึงเธอที่เป็นฝ่ายประชาธิปไตยและฝ่ายก้าวหน้า
อย่างไรก็ดีสิ่งที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้สำหรับ "ช่อ"พรรณิการ์ วานิช รวมไปถึงแกนนำของพรรคอนาคตใหม่คนอื่น ล้วนมาจากพฤติกรรมและคำพูดในอดีตที่ต่อเนื่องกันมา ไม่มีใครกลั่นแกล้งหรือนำเรื่องสถาบันมาใส่ร้ายหรือสกัดกั้น แต่ทุกอย่างล้วนมาจาก"กรรม"ที่ส่อเจตนาให้เห็นว่ามี"ทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อสถาบัน"หรือไม่ รวมถึงประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่เป็นความผิดเกี่ยวกับสถาบันฯนั้นก็เช่นเดียวกันคงไม่มีใครสามารถยกมากลั่นแกล้งใครหรือสกัดกั้นใครโดยพลการได้ นอกเสียจากมีพฤติกรรม ที่ส่อไปในทางจาบจ้วงเท่านั้น
และที่ผ่านมาก็ไม่มีใครเดือดร้อนกับการคงอยู่ของประมวลกฎหมายมาตราดังกล่าว ยกเว้นกลุ่มคนหรือบุคคลประเภทดังกล่าว เพราะมาตรา 112 ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเป็นประชาธิปไตย หรือหัวก้าวหน้าตรงไหน เพราะหากจะวิจารณ์หรือแสดงความเห็นทางเมือง หรือวิพากษ์วิจารณ์ รัฐบาล นักการเมืองคนใดก็สามารถทำได้อย่างเต็มที่ และคนที่ถูกวิจารณ์เขาก็สามารถตอบโต้ชี้แจงได้เต็มที่เช่นเดียวกัน รวมไปถึงฟ้องร้องตามกฎหมาย แต่กับสถาบันที่อยู่เหนือการเมืองจะไปก้าวล่วงไม่ได้
เหมือนกับกรณีของ "ช่อ"พรรณิการ์ วานิช หากไม่เคยโพสต์ในลักษณะที่หมิ่นเหม่ รวมไปถึงรวมอยู่กลุ่มบคคลในพรรคอนาคตใหม่บางคนที่ล้วนเคยมีท่าทีและทัศคติที่น่าสงสัยต่อสถาบันมันก็ยิ่งถูกจับจ้อง และเชื่อว่ายับมีอีกหลายคลิป หลายคำพูดในอดีตที่จะถูกขุดคุ้ยขึ้นมาเปิดโปงเรื่อยๆ ในโลกโซเชียล ที่พวกเขาเคยใช้เป็นเครื่องมือเผยแพร่ความคิดและโปรโมตตัวเองนั่นแหละ เหมือนกับการย้อนศรเข้าหาตัวเอง
ดังนั้นแม้ว่าในคำพูดล่าสุดของ "ช่อ"พรรณิการ์ วานิช จะอ้างว่าเธอและพรรคอนาคตใหม่ยึดมั่นในการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่เธอใช้คำว่า"มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข"ก็ตาม พร้อมทั้งอ้างว่าตกเป็นเหยื่อของการใช้สถาบันมาทำลายทางการเมือง สรุปก็คือเธอยังยืนยันภาพในอดีตนั้นต้องการสื่อให้เห็นถึงการต่อต้านรัฐประหาร แต่ถูกป้ายสีบิดเบือน แต่ปรากฏการณ์ที่มองเห็นในวันนี้และผลกระทบที่เธอได้รับในตอนนี้ล้วนมาจาก"กรรม"ที่ก่อทั้งสิ้น ส่วนจะส่งผลอย่างไรก็ต้องรอดู !!
