มหกรรมลดราคา “ไพรมเดย์” แบบ 36 ชั่วโมง บนเว็บไซต์อเมซอนจบลงไป โดยมีทั้งคนสุขใจ สมหวัง ตลอดจนศร้าใจ หัวเสีย
“อเมซอน ไพรมเดย์” คือ มหกรรมลดราคาบนโลกออนไลน์ตั้งแต่เที่ยงวันวันที่ 16 ก.ค. ลากยาวต่อเนื่องวันครึ่ง ที่เจ้าพ่อ “เจฟฟ์ เบซอส” ซีอีโออเมซอน ที่กลายเป็นผู้ร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ภายหลังจากไพรมเดย์จบลงด้วยยอดขายน่าประทับใจ โดยที่เบซอสเคลมว่า ลดเยอะ ลดแหลก โดยเฉพาะสินค้าจากแบรนด์ดังทุกประเภท
กระแสการจัดมหกรรมลดราคาจนโลกออนไลน์แตกแบบนี้ เราได้เห็นกันบ่อยขึ้น และกลายเป็นวาระระดับชาติในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เพราะไม่ใช่อเมซอนเท่านั้น แต่ “อาลีบาบา” ยักษ์อีคอมเมิร์ซแห่งแดนมังกร ก็มีการจัดลดราคาวันคนโสด 11.11 ที่ทำเงินสะพัดนับล้านล้าน รวมถึงอีกหลายแพลตฟอร์มก็จัดมหกรรมลดราคาในวันเดียวกับของอาลีบาบา ไม่ว่าจะเป็น ลาซาด้า หรือ ช้อปปี้ ก็ตาม
ศึกลดราคาบนออนไลน์กลายเป็นตลาดที่ดุเดือดมากกว่าโลกออฟไลน์ มหกรรมเซลในห้างสรรพสินค้าไม่ดึงดูดใจเหมือนก่อนที่เรียกได้ว่าห้างแตก เพราะผู้บริโภคให้เหตุผลว่า โลกออนไลน์ทั้งสะดวกสบาย มีของให้เลือกมหาศาล ในราคาที่ถูกกว่าในห้าง เพราะผู้ขายตัดต้นทุนไปหลายอย่าง
สำหรับ “ไพรมเดย์” ปีนี้ถือว่าจัดยิ่งใหญ่ แม้ทางอเมซอนไม่เปิดเผยรายได้ แต่มีการคาดการณ์ว่าผู้บริโภคจะช็อปมากถึง 3.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยแถลงการณ์จากอเมซอนเมื่อวันพุธที่ผ่านมาระบุเพียงว่า ไพรมเดย์ปีนี้ใหญ่กว่า ทั้งงานไซเบอร์มันเดย์, แบล็กฟรายเดย์ รวมถึงไพรมเดย์ปีก่อน ๆ ด้วยจำนวนสินค้ากว่า 100 ล้านชิ้นที่จำหน่ายออกไป
หลายแบรนด์ร่วมใจปล่อยหมัดเด็ด ลดเกินห้ามใจ เช่น พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล (P&G) ลด 25% อันเดอร์อาเมอร์ (Under Armour) ลด 40%
ขณะที่ผู้ค้ารายย่อยในอเมซอนนับล้านรายก็ได้อานิสงส์ไปด้วย โดยสามารถทำยอดขายรวมกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ระหว่างช่วงโปรโมชั่น
ไพรมเดย์ปีนี้ยังทำให้เห็นถึงโมเดลธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่เข้มแข็ง รวมถึงหลายปัญหาที่ซุกไว้ใต้พรมของการขายบนโลกออนไลน์
“บูมเมอแรงคอมเมิร์ซ” ผู้ให้คำปรึกษาการวางกลยุทธ์การขายบนโลกออนไลน์ ให้ความเห็นกับสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า “การที่อเมซอนและแบรนด์ดังของโลกจับมือกันวางขายสินค้าลดราคา ถือเป็น “จุดแข็ง” ของไพรมเดย์ ซึ่งตัวแบรนด์เองก็ได้ประโยชน์ในการก้าวขารุกสู่โลกอีคอมเมิร์ซมากขึ้น”
ด้านอเมซอนก็ชัดเจนว่ายอดขายสินค้าและลูกค้าที่มากขึ้น ทั้งระบุว่าในวันที่ 16 ก.ค.ที่ผ่านมา มีผู้สมัครเข้าเป็นสมาชิกชั้นดี หรือ “ไพรมเมมเบอร์ชิป” มากกว่าวันไหน ๆ ในประวัติศาสตร์ ซึ่งโดยปกติแล้ว อเมซอนมีไพรมเมมเบอร์กว่าล้านคนทั่วโลกที่แอ็กทีฟอยู่ตลอดเวลา ซึ่งไพรมเมมเบอร์เท่านั้นมีสิทธิ์ซื้อสินค้าวันไพรมเดย์
นักการตลาดทั่วโลกมองว่า นอกจากค่าสมาชิกไพรมเมมเบอร์แล้ว อีกหนึ่งรายได้หลักในวันไพรมเดย์ของอเมซอน คือ “การขายโฆษณา”
“เจเรมี ฮูลล์” รองประธานบริษัท IProspect บริษัทดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งระบุว่า มีการเปิดประมูล “คีย์เวิร์ดการเสิร์ช” ซึ่งจะทำให้แบรนด์นั้นเด้งขึ้นมาอันดับแรก เมื่อไพรมเมมเบอร์ค้นหาสินค้าเกี่ยวข้อง หลายแบรนด์เลือกจ่ายค่าโฆษณาให้อเมซอน เพื่อให้ขึ้นมาเป็นตัวเลือกบนหน้าเว็บไซต์อันดับแรก ๆ ทำให้หลายแบรนด์มีการจ่ายเงินค่าโฆษณามากขึ้นเมื่อเทียบจากช่วงปกติ
อย่างไรก็ตาม หลายชั่วโมงแรกของการจัดแคมเปญลดราคา อเมซอนเกิดปัญหาเว็บล่ม ทั้งเข้าเว็บไม่ได้ ตลอดจนลูกค้าเพิ่มสินค้าเข้าไปในตะกร้าช็อปปิ้งไม่ได้ ผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่า อาจจะเป็นการโจมตีทางไซเบอร์ด้วย “บอต” ที่ถูกส่งมาป่วน ทำให้การไหลเวียนข้อมูลติดขัด เพราะบางทีบอตเข้ามาใช้งานเว็บมากถึง 75% โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้ค้าย้ายไปขายช่องทางอื่นแทน หรือเป็นบอตที่เข้ามาระงับคลังสินค้าบนสต๊อกของอเมซอน ซึ่งปัญหานี้เป็นเรื่องที่เจอได้บ่อยเมื่อเว็บไซต์ใหญ่ ๆ จัดงานลดราคา
อีกหนึ่งปัญหาที่อเมซอนเผชิญ คือ พนักงานคลังสินค้าในเยอรมนี โปแลนด์ และสเปน ประท้วงหยุดงานในวันที่เริ่มไพรมเดย์ เนื่องจากไม่พอใจสัญญาจ้าง โดยมองว่า เจ้าของอเมซอนร่ำรวยขึ้นจากการทำลายสุขภาพของพวกเขา ขณะที่อเมซอนระบุว่า ได้ลงทุนกว่า 15,000 ล้านยูโรทั่วยุโรป และสร้างงานประจำกว่า 65,000 ตำแหน่ง นับตั้งแต่ 2010 เป็นต้นมา โดยยืนยันว่าพนักงานทำงานในที่ที่ปลอดภัย ด้วยค่าแรงที่แข่งขันได้ ตั้งแต่วันแรกที่อเมซอนรุกยุโรป
การเซลล์ปีนี้ เพิ่มเวลาจากปีก่อน 6 ชั่วโมง และขยายการขายเพิ่มใน 4 ประเทศ ทำให้พนักงานไม่พอใจเพราะทำงานเพิ่มขึ้น แม้ว่าอเมซอนจะปฏิเสธว่าจ่ายค่าแรงอย่างเป็นธรรมแล้วก็ตาม โดยพนักงานประจำได้มากถึง 12.22 ยูโรต่อชั่วโมง
ขณะที่เทรนด์ช็อปปิ้งบนโลกออนไลน์ โดยเฉพาะในวันลดราคา คงยังมาแรงฉุดไม่อยู่ไปอีกนาน ซึ่งทางอเมซอนก็คงต้องปรับวิธีการทำงาน เพื่อหาจุดพอใจสำหรับทุกฝ่าย เว็บไซต์ Statistic คาดการณ์ว่า ยอดขายอีคอมเมิร์ซปี 2018 ทั่วโลก จะสะพัดอยู่ที่ 2.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ก่อนจะพุ่งขึ้นเกือบเท่าตัวในปี 2021 ที่ 4.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ