โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

ช็อก ! อีก 2 ปี สัตว์ป่าจะสูญพันธุ์ 2 ใน 3 ของโลก ความผิดของคน หรือสัตว์ปรับตัวไม่ได้เอง ?

TheHippoThai.com

อัพเดต 14 พ.ย. 2561 เวลา 06.09 น. • เผยแพร่ 13 พ.ย. 2561 เวลา 01.00 น.

ช็อก ! อีก 2  ปีสัตว์ป่าจะสูญพันธุ์  2 ใน3 ของโลกความผิดของคนหรือสัตว์ปรับตัวไม่ได้เอง ?

คราบเขม่าและควันปืนจากข่าวผู้บริหารบริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศไทยแห่งหนึ่งกับข้อสงสัยในกรณี “เสือดำ” ที่ชวนให้คิดถึงภาพการล่าสัตว์ป่าในไทย (อย่างเกือบจะเสรีหากคุณมีอิทธิพล) ยังไม่ทันจะจางหายไป ก็มีคลื่นความน่าตระหนกใจระลอกใหม่เกี่ยวกับวิกฤตธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมซัดเข้ามาทันที แต่คราวนี้กลับเป็นในระดับโลก ! เมื่อองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล(World Wide Fund for Nature – WWF) ได้นำเสนอรายงาน Living Planet Index เมื่อช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมาด้วยสถิติที่น่าตื่นตระหนกว่า จำนวนประชากรสัตว์ทั่วโลกลดลงถึง60 % ในรอบ40 ปี 

รายงานฉบับนี้กล่าวว่า นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 -2014 ประชากรสัตว์ลดลงกว่า 60 % รวมถึงกลุ่มประชากรสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ปลา นก สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์เลื้อยคลานมากกว่า 4,000 สายพันธุ์ทั้งอัตราการสูญพันธุ์ยังเพิ่มสูงขึ้นกว่า1,000 เท่า นั่นหมายความว่า สัตว์ป่ามากกว่า2 ใน3 จากทุกสายพันธุ์อาจสูญพันธุ์ไปจากโลกในปี2020 ซึ่งจะเป็นการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ครั้งที่6 ของโลก!

สาเหตุเพราะความผิดของคนหรือสัตว์ปรับตัวไม่ได้เอง ? 

ภาพสุนัขจิ้งจอกและปลาในดินแดนแถบสแกนดิเนเวียถูกแช่แข็ง ในปีที่มีอากาศหนาวกว่าปกติเพราะการปรับตัวหรืออพยพไม่ทัน ที่ปรากฏในโลกออนไลน์เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา เมื่อมองแล้วก็ตอบได้ว่าเป็นเพราะสภาพอากาศที่แปรปรวนกว่าปกติ และการปรับตัวตามธรรมชาติไม่ได้อย่างทันท่วงทีของสัตว์ต่างๆ เอง แต่เมื่อมองดีๆแล้ว จะเห็นได้ชัดเจนว่า ต้นตอของสภาพอากาศที่แปรปรวนนี้ ล้วนเกิดจากการกระทำของมนุษย์อย่างชัดเจน!

จนถึงขนาดที่นักวิจัยเรียกยุคนี้ว่า แอนโทรโปรซีน” (Anthropocene) หรือ ยุคที่ทุกพื้นที่แปดเปื้อนไปด้วยมนุษย์นั่นคือ มนุษย์ได้สร้างความหายนะต่อระบบนิเวศซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนสุดท้ายจะเกิดหายนะต่อเผ่าพันธุ์ตนเอง ซึ่ง “หายนะทางชีวภาพ” เหล่านี้ เกิดขึ้นได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม  

สาเหตุทางตรงอันดับหนึ่งนั้นคือการทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ จากการบุกรุกพื้นที่ป่าของมนุษย์ เพื่อการทำไร่ไถนา (และการสร้างหมู่บ้านจัดสรรหากเป็นกรณีในไทย) จน 3 ใน 4 ของที่ดินทั่วโลกต่างถูกครอบครองโดยมนุษย์ทั้งสิ้น สาเหตุรองลงมาคือการล่าและฆ่าสัตว์เพื่อเป็นอาหาร โดยรายงานยังระบุว่า สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกว่า 300 สายพันธุ์ต่างถูกล่าเพื่อนำมาเป็นอาหาร และปลากว่าครึ่งในมหาสมุทรตกเป็นเหยื่ออุตสาหกรรมการประมงทั้งสิ้น ทั้งนี้เป็นเพราะจำนวนประชากรมนุษย์ที่เพิ่มมากขึ้นในระดับ “เท่าทวี”

นอกจากนี้การลดจำนวนประชากรสัตว์อย่างน่าใจหายนี้ยังเกิดจากสาเหตุทางอ้อมอาทิมลพิษจากสารเคมี โดยประชากรวาฬกว่าครึ่งต้องตายจากมลพิษขยะพลาสติกที่ถูกปล่อยลงสู่ทะเล นอกจากนี้ยังพบพลาสติกในท้องของนกทะเลถึง 90% เมื่อเทียบกับปี 1960 ที่พบเพียง 5% ไม่นับรวมถึง ภาวะโลกร้อน (Global Warming) ภาวะสภาพอากาศสุดขั้ว (Climate Extremes) ที่เกิดขึ้นจากกิจวัตรประจำวันของมนุษย์ทั้งสิ้น 

ทั้งหมดนี้นำมาสู้ข้อสรุปของ WWF อย่างชัดเจนว่า การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ครั้งที่ 6 ของโลก หลังจากครั้งล่าสุดเมื่อ 65 ล้านปีที่แล้วของไดโนเสาร์ (ซึ่งครั้งก่อนๆ เกิดจากภัยธรรมชาติทั้งสิ้น) จะเกิดจากการกระทำของมนุษย์เอง! 

แล้วไทยเราอย่ตรงไหนในสถานะการคุกคามสัตว์ป่า?

WWF ยังได้นำเสนอข้อมูลที่คนไทยเราควรตระหนักและมีส่วนร่วมรับผิดชอบว่า “พื้นที่สามเหลี่ยมทองคำจัดอยู่ในพื้นที่ที่มีการลักลอบค้าสัตว์ป่าเข้าขั้นสุดเลวร้าย โดยเฉพาะการลักลอบขนส่งและซื้อขายเสือโคร่งป้อนให้ กับภัตตาคารร้านค้า ซึ่งจะนำกระดูกเสือโคร่งไปดองเหล้า หรือนำเนื้อไปประกอบอาหาร  รวมถึงการแปรรูปเป็นของตกแต่งบ้าน และเครื่องประดับราคาแพง ไม่นับรวมหนังช้างงาช้างและอุ้งตีนหมี โดยมีตลาดผู้รับซื้อหลักคือชาวจีนและเวียดนามที่เชื่อในสรรพคุณของสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นยาชูกำลัง ทั้งที่ไม่ได้มีงานวิจัยรับรองแต่อย่างใด

ที่สำคัญไปกว่านั้น องค์กรเครือข่ายควบคุมการค้าสัตว์ป่า(The Wildlife Trade Monitoring Network - TRAFFIC) ยังได้นำเสนอสถิติการค้า “นาก” ผ่านการศึกษา TRAFFIC – IUCN Otter Specialist Group พบว่า ไทยกลายเป็นประเทศต้นทางการค้าขายตัวนากทั้งการค้าขายภายในและนอกประเทศอันดับต้นๆ อาทิ ส่งออกไปสู่ประเทศญี่ปุ่นและเวียดนาม โดยช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีการจับกุมการลักลอบค้านากได้ 5 ครั้ง และยึดนากที่มีชีวิตได้ 35 ตัว เช่นนั้นแล้ว จำนวนการค้านากที่ไม่ได้ถูกจับกุมจะมีอีกเท่าใด ? และจำนวนนากที่ตายระหว่างการค้าชีวิตในครั้งนี้จะมีอีกเท่าใด ?

ไม่เฉพาะแต่การค้าซึ่งหน้า แต่การค้าในโลกออนไลน์ก็ดุเดือดไม่แพ้กัน จากงานวิจัยสถานการณ์การค้าสัตว์ป่าบนสื่อสังคมออนไลน์ในประเทศไทย​(Illegal​ Wildlife​ Trade​ on Social media in Thailand) โดย อุเทน​ ภุมริน​ทร์​ นักสื่อสาร​ธรรมชาติ​และ​นัก​ชีววิทยา​เชิง​อนุรักษ์ พบว่า เฉพาะช่วง เดือนธันวาคม 2558 - เมษายน พ.ศ. 2559 มีสัตว์ป่าถูกโพสต์ขายจำนวน 711 ครั้ง แบ่งเป็น 105 ชนิด 1,396 ตัว มีสัตว์ป่าคุ้มครองตามกฎหมายอีกจำนวนหลายชนิด มีการตั้งกลุ่ม Facebook ซื้อขายสัตว์ป่ากันอย่างโจ่งแจ้งทั้งยังท้าทายกฏหมายด้วยการแนบบัตรประชาชนบัญชีธนาคาร ในการ Post สอดคล้องกับรายงานของ TRAFFIC ที่ระบุว่า พบการ Post ซื้อขายนากออนไลน์ในไทยสูงถึง 80 Post และนากถูกขายไปแล้ว 204 ตัว นับเป็นสถิติสูงเป็นอันดับที่สองรองจากประเทศอินโดนีเซียเท่านั้น 

เช่นนั้นแล้ว ก็คาดการณ์ได้เลยว่า หากสถานการณ์ในบ้านเรายังเป็นเช่นนี้ต่อไป ในอีกไม่ช้าจะมีสัตว์ต่างๆ สูญพันธุ์ไปจากผืนป่าของเราอย่าง “สมัน” กวางที่ได้ชื่อว่ามีเขาสวยที่สุดในโลก ซึ่งพบเฉพาะในประเทศไทย บริเวณที่ราบลุ่มภาคกลางแถบทุ่งรังสิต ทุ่งพญาไท สมุทรปราการ สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม ที่ปัจจุบันกลายเป็นพื้นที่เมืองไปแล้ว

แม้จะมีรายงานว่าได้เก็บข้อมูลพันธุกรรมของสัตว์ต่างๆ ไว้ เพื่อที่ในอนาคตอาจจะมีเทคโนโลยีที่จะสามารถช่วยสืบพันธุ์ให้กับพวกเขาต่อไป แต่มันจะมีหวังถึงวันนั้นไหม ? หากเราฆ่าตัวตายไปพร้อมๆ กับโลกทุกๆวันเช่นนี้  หรือจะดีกว่า ถ้าเราเริ่มรักษาโลกกันอย่างจริงจังเสียที แล้วอยู่กับสิ่งที่เหลือ ที่จะค่อยๆ งอกงามต่อไปจนเติมเต็มโลกของเราอีกครั้ง

****************************

แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม:

https://www.traffic.org/site/assets/files/3014/traffic_pub_bulletin_28_2_23_otter_congress.pdf

https://www.dailymail.co.uk/news/article-2545364/Glacier-fox-Animal-latest-freeze-solid-Scandinavias-lakes-following-fish-moose.html

http://www.verdantplanet.org/news/viewnews.php?newsid=301

https://greennews.agency/?p=15357

https://themomentum.co/momentum-feature-wwf-living-planet-index/

https://www.seub.or.th/bloging

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0