หลายคนอาจจะคุ้นเคยหรือได้ยินคำว่า "โรคฮิสทีเรีย" และเข้าใจว่าเป็น "โรคขาดผู้ชายไม่ได้" แต่แท้จริงแล้วนั้น เป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่ง เพราะฮิสทีเรีย ลักษณะจะมีอาการชอบทำตัวเด่น เรียกร้องความสนใจ เมื่อแสดงอาการแบบนี้ออกไปให้เพศตรงข้ามเห็น จึงทำให้ดูเหมือนคนยั่วยวน ทำให้เกิดความเข้าใจผิด
แต่โรคที่มีความต้องการทางเพศสูงที่จริงแล้วเรียกว่า "โรคนิมโฟมาเนีย" (Nymphomania) ซึ่งเป็นอาการป่วยทางจิตประเภทหนึ่ง ที่ผู้ป่วยจะมีความผิดปกติในการควบคุมพฤติกรรมในเรื่องเพศ ร่างกายไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้เกิดความต้องการทางเพศมากกว่าปกติ หรือเรียกอีกอย่างว่า "เสพติดการมีเพศสัมพันธ์" (sexual addiction) แต่นิมโฟมาเนียเป็นชื่อโรคที่เอาไว้เรียกสำหรับเพศหญิงหรือผู้ที่มีรสนิยมรักร่วมเพศ หากเป็นเพศชายจะเรียกว่า โรคสไตเรียซิส (satyriasis)
ภาพโดย Pexels จาก Pixabay
"โรคนิมโฟมาเนีย" มี 4 ประเภท
1.แบบใคร่ไม่รู้อิ่ม (Hypersexuality) ซึ่งเป็นอาการหลักๆ ของผู้ป่วยนิมโฟมาเนีย
2.แบบมโน (Erotomania) เป็นความผิดปกติที่คิดคิดว่า อีกฝ่ายหลงชอบตัวเองเอามากๆ
3.แบบกามวิปริต (Paraphilia-related disorder) เป็นรูปแบบความต้องการที่จะมีเพศสัมพันธ์แบบซาดิสต์ หรือบางรายอาจจะมีปัญหาในการตอบสนองทางเพศที่รุนแรงกว่าปกติ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นจากจินตนาการ หรือบางรายอาจจะมีการจำลองสถานการณ์ และบางรายอาจจะชื่นชอบการใช้อุปกรณ์
4.แบบยับยั้งไม่ได้ (Sexual disinhibition) เป็นรูปแบบที่คล้ายกับแบบแรก โดยจะเกิดการมีเพศสัมพันธ์แบบที่ไม่ได้คิดถึงความเหมาะสมหรือความถูกต้อง
ภาพจาก rawpixel.com
สาเหตุของอาการ "คลั่งไคล้ทางเพศ"
สำหรับสาเหตุของ "โรคนิมโฟมาเรีย" นั้น ยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่มีการคาดการณ์ว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับสาเหตุต่อไปนี้
1.ความผิดปกติของสมอง : เกิดจากความผิดปกติทางสมองซึ่งสามารถที่จะเกิดขึ้นได้จากหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นสารสื่อประสาทที่อาจจะหลั่งเกินปริมาณความต้องการของร่างกาย ทำให้การสื่อสารเกี่ยวกับระบบควบคุมฮอร์โมนในร่างกายผิดปกติ ขณะเดียวกัน อาจจะเกิดความผิดปกติที่สมองส่วนกลาง (Midbrain) ซึ่งเป็นส่วนช่วยร่างกายในการรับสื่อประสาทที่ทำให้รู้สึกดีให้เกิดความผิดปกติไปด้วยได้
2.ฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgens) : เป็นฮอร์โมนที่จะส่งผลต่อความต้องการทางเพศ ซึ่งหากร่างกายมีฮอร์โมนชนิดนี้มากเกินไปก็จะส่งผลทำให้มีความต้องการทางเพศสูง
3.เหตุการณ์ : ผู้ป่วยบางรายอาจจะเคยพบเจอกับประสบการณ์ที่สร้างบาดแผล เช่น การมีเพศสัมพันธ์ที่รุนแรง หรือการถูกข่มขืน โดยเฉพาะปมเรื่องเพศในวัยเด็ก
4.โรคย้ำคิดย้ำทำ : เป็นโรคที่ผู้ป่วยมักจะทำพฤติกรรมซ้ำๆ โดยที่ไม่รู้ตัว ซึ่งจากการวิจัยผู้ป่วยโรคย้ำคิดย้ำทำ ผู้ป่วยจะมีเพศสัมพันธ์ประมาณ 30 ครั้ง ในเวลา 24 ชั่วโมง ซึ่งก็จะทำให้เป็นโรคนิมโฟมาเนียได้
ภาพจาก Snapwire
5.ยารักษาพาร์กินสัน : เป็นยาที่มีส่วนผสมของสารเอนโดพามิน ซึ่งมีผลต่อระบบประสาทโดยตรงที่จะควบคุมให้สามารถทำงานได้ปกติ และมีผลต่อการควบคุมระดับฮอร์โมนในร่างกาย อีกทั้งประมาณ 25% ของผู้ใช้ยา ยังมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคนิมโฟมาเนียตามมาได้อีกด้วย
6.การได้รับยาบางชนิดมากเกินไป : เช่น แอมเฟตามีน หรือติดสารเสพติด จนส่งผลกระทบต่อระบบประสาท การควบคุมตัวเอง
7.กรรมพันธ์ : คนในครอบครัวมีประวัติป่วยเป็นโรคนี้อยู่แล้ว
8.ปัญหาครอบครัว : การขาดความรักความอบอุ่นจากคนในครอบครัว ทำให้ต้องออกไปหาความรักนอกบ้าน ยิ่งถ้าได้คบเพื่อนไม่ดี ก็จะยิ่งมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้สูงขึ้น
9.สภาพแวดล้อม : สังคมที่อยู่อาศัยแออัด เต็มไปด้วยความเครียด จะยิ่งเป็นตัวเร่งอาการ
ภาพโดย Pexels จาก Pixabay2
เช็กเบื้องต้นอาการป่วย "โรคนิมโฟมาเนีย"
- หมกหมุ่นคิดแต่เรื่องของการมีเพศสัมพันธ์
- ดูสื่อลามกอนาจารเป็นประจำ
- มักจะสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง
- มีคู่นอนหลายคน หรือมีเพศสัมพันธ์กับใครก็ได้
- ใช้บริการการค้าประเวณีตลอด
- พูดจาลามก หรือแสดงท่าทางในลักษณะว่ามีความต้องการทางเพศตลอดเวลา
- ใช้บริการทางเพศจากการแชท ภาพลามก หรือใช้บริการทางเพศออนไลน์
- ไม่สามารถเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมต่างๆ ได้ เช่น การเลี้ยงฉลอง การทำงาน เพราะมัวแต่หมกหมุ่นกิจกรรมทางเพศ
- มีรูปแบบการมีเพศสัมพันธ์ที่รุนแรง และไม่สามารถควบคุมร่างกายได้
- มักมีเพศสัมพันธ์ในอารมณ์ที่โกรธ หงุดหงิด เครียด หรือกังวล
- ไม่สามารถรักษาความสัมพันธ์ระหว่างคู่รัก หรือคู่แต่งงานได้
ภาพโดย Adina Voicu จาก Pixabay
"โรคนิมโฟมาเนีย" รักษาได้แต่ต้องใช้เวลา!
การรักษาโรคนิมโฟมาเนียเป็นเรื่องยาก เพราะคล้ายกับการติดสารเสพติดจึงจะต้องใช้ระยะเวลาและการเอาใจใส่ในการรักษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละราย ดังนี้
1.การบำบัดแบบ CBT (Cognitive behavioral therapy) นิยมใช้สำหรับผู้ป่วยปัญหาทางสุขภาพจิตเพื่อที่จะให้ผู้ป่วยสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ หรือเป็นวิธีการรักษาที่ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมตัวเองได้หากว่าเจอสิ่งเร้า แต่จะต้องอยู่ในความดูแลของจิตแพทย์
2.การใช้ยา แพทย์จะมีการจ่ายยาเพื่อช่วยลดความต้องการทางเพศ เช่น ยาคลายเครียด ยากล่อมประสาท แต่นอกเหนือจากนี้ผู้ป่วยแต่ละรายอาจจะต้องการยาที่แตกต่างกัน ดังนั้น อาจจะต้องขึ้นอยู่กับการวินิจฉัย
3.การออกกำลังกาย การออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยโรคนิมโฟมาเนีย สามารถที่จะเลือกรูปแบบการออกกำลังกายที่หลากหลายได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเลือกการเล่นโยคะ หรือการออกกำลังกายที่จะต้องมีสมาธิอยู่กับตัวเอง เพราะการออกกำลังกายรูปแบบนี้ จะทำให้ผ่อนคลายและไม่ฟุ้งซ่าน อีกทั้งยังช่วยให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายมีความสมดุลยิ่งขึ้น
4.รักษาด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ประกอบด้วย ความเข้าใจ ความมุ่งมั่น และจัดการความเครียดและความวิตกกังวล
ไม่อยากเป็น "คลั่งไคล้ทางเพศ" ต้องทำอย่างไร
ในทางการแพทย์นั้น โรคนิมโฟมาเนียยังไม่มีวิธีป้องกันที่ระบุไว้อย่างชัดเจน แต่อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยสามารถเข้าใจสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคได้ ก็ย่อมช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคนิมโฟมาเนียลงได้ โดยเฉพาะการควบคุมระดับฮอร์โมนในร่างกายให้สมดุล เพราะระดับฮอร์โมนสามารถส่งผลต่อการควบคุมอารมณ์และความคิดได้
นอกจากนี้ การดูแลตัวเองทานอาหารที่มีประโยชน์และสมดุล ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและนอนหลับอย่างเพียงพอ รวมทั้ง การเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมและกิจกรรมอื่น ๆ ที่สร้างความสุขให้แก่ตัวเอง ยังช่วยให้ห่างไกลและไม่หมกมุ่นกับเรื่องเพศได้ด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก hiclasssociety และ mahosot