โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ชาวเน็ตแห่อาลัยหมอเมย์ สู้มะเร็งระยะสุดท้ายกว่า 4 เดือน กว่าจะรู้ตัวว่าเป็นก็เหลือเวลาน้อยนิดเสียแล้ว

อีจัน

อัพเดต 20 เม.ย. 2562 เวลา 13.12 น. • เผยแพร่ 20 เม.ย. 2562 เวลา 13.07 น. • อีจัน
ชาวเน็ตแห่อาลัยหมอเมย์ สู้มะเร็งระยะสุดท้ายกว่า 4 เดือน กว่าจะรู้ตัวว่าเป็นก็เหลือเวลาน้อยนิดเสียแล้ว
ชาวเน็ตแห่อาลัย หมอเมย์ เจ้าของเพจ ห&#3…

ชาวเน็ตแห่อาลัย หมอเมย์ เจ้าของเพจ หมอเมย์สู้มะเร็งระยะสุดท้าย ซึ่งในวันนี้(20 เม.ย. 62) เมื่อเวลาประมาณ 12.00 น. เพจหมอเมย์ได้โพสต์ข้อความโดยสามีของเธอ ที่แสดงให้เห็นว่า หมอเมย์ได้จากไปแล้วอย่างสงบ ด้วยโรคมะเร็งกระเพาะอาหารระยะที่ 4 หรือระยะแพร่กระจาย โดยข้อความระบุว่า
“ชีวิตเปรียบเสมือนการเดินทาง จุดหมายหนึ่งในนั้นคือความตายแต่นั่นเป็นเพียงการเริ่มต้นใหม่
วันนี้หมอเมย์ได้เดินทางไปสู่โลกใหม่ที่สว่างสดใส หลังจากผ่านวันและค่ำคืนอันยาวนานกว่า4เดือน ด้วยกำลังใจอันแรงกล้า ความหวัง และความศรัทธา(ระยะของโรคมะเร็งกระเพาะอาหารที่แพร่กระจายอย่างมากอยู่ได้ไม่นานไม่เกิน1เดือน)
ในช่วงเวลาเหล่านั้นหมอเมย์ได้ให้มุมมองและความคิดเชิงบวก ให้กำลังใจกับทุกคนที่พบเจอปัญหา หรืออุปสรรคในชีวิตโดยเฉพาะผู้ป่วยมะเร็ง ให้มีความหวัง รู้จักคุณค่าของชีวิต ให้คุณค่าของทุกๆลมหายใจที่มีอยู่
ส่วนคนที่อยู่ต่อ ยังคงเดินทางและรับผิดชอบความรู้สึกตนเองต่อไปให้ได้ ต้องเข้มแข็งให้มากๆ
คุณงามความดีที่หมอเมย์ได้ช่วยเหลือคนไข้มากมาย ความสดใสร่าเริง รอยยิ้มที่แสนพิเศษ เป็นที่รักใคร่จากทุกๆคนที่พบเจอและรู้จักเสมอ
หลับให้สบายนะจ๊ะคนดี ภรรยาที่สุดแสนวิเศษ
น้องเมย์ยังคงอยู่ในใจพี่ตั้มเสมอและครึ่งหนึ่งยังอยู่ในตัวอันย่า แอรอน ความรักของเราจะคงอยู่ตลอดไป
#เพราะทุกลมหายใจของฉันสำคัญเสมอ_หมอเมย์ “

ย้อนกลับไปเมื่อต้นปี วันที่ 4 มกราคม 2562 ที่เพจหมอเมย์สู้มะเร็งระยะสุดท้าย ได้ถูกสร้างขึ้นในเฟซบุ๊ก
แล้วหมอเมย์คือใคร? หมอเมย์ หรือ พญ.ทักษอร เล้าวงค์ จักษุแพทย์สาขากระจกตาและผ่าตัดแก้ไขสายตา ผู้ก่อตั้งคุณหมอเมย์คลินิก และเป็นแพทย์ประจำที่ รพ.นนทเวช

โพสต์แรกของเพจ ถือได้ว่าเป็นทั้งโพสต์แนะนำตัวและโพสต์เพื่อที่จะแชร์เรื่องราวของหญิงคนหนึ่ง ที่เพิ่งให้กำเนิดลูกที่น่ารักไปแล้วถึง 2 คน และเธอกำลังต้องเผชิญกับโรคร้าย โรคที่ใครหลายคนต่างก็ไม่อยากเป็น เพราะไม่มีใครรู้เลยว่าจะมีเวลาอยู่กับครอบครัว คนที่รักได้อีกนานแค่ไหน นั่นคือ โรคมะเร็ง ซึ่งหมอเมย์เป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหารระยะที่ 4 หรือระยะแพร่กระจาย โดยโพสต์แรกของ เพจหมอเมย์สู้มะเร้งระยะสุดท้าย ระบุข้อความว่า

“ วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม 2561 เป็นวันที่ดิฉัน หมอเมย์ พญ.ทักษอร เล้าวงค์ ซึ่งกำลังมีความสุขกับการทำงาน งานผ่าตัดอันเป็นที่รัก เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นต่อสายตรงมาจากอาจารย์ชายชัญ อันเป็นที่เคารพ ว่า ผล Lab เมย์ไม่ค่อยดีเลยนะคะ อยากให้เข้ามาเจอ อ ที่ โรงพยาบาลหน่อย เมย์จึงถามกลับไปว่าเป็นอะไรหรอคะ อ จึงบอกกลับมาว่าผลตรวจเจอเซลมะเร็งที่ต่อมน้ำเหลืองที่ตัดชิ้นเนื้อที่คอไปตรวจ อึ้งไปเลยสิคะ แต่ก็ผ่าตัดต่อจนเสร็จนะคะ สวยงามเรีบยร้อยดี ต้องขอบคุณคนไข้มากๆที่เข้าใจหมอ และยังให้กำลังใจหมอด้วยอีกต่างหาก
ย้อนไปว่าเพราะอะไรเมย์จึงไปตรวจ อาการคือ ไอ ไม่ดีขึ้น ไอเยอะมา 1 สัปดาห์กว่าๆ ไม่มีไข้ ไอจนเริ่มหายใจไม่สุด จึงไปตรวจ x-ray หน้าอกดู พบว่ามีจุดเล็กๆ คิดว่าเป็นวัณโรครึป่าว จึงไป CT scan ปอดซ้ำ ผลก็ออกมาว่ามีจุดเล็กๆเต็มปอดเลย สงสัยวัณโรค หรือ มะเร็ง ตอนนั้นยังสงสัยวัณโรคมากกว่าอยู่นะคะ แต่ อ ให้เราลองตัดเอาต่อมน้ำเหลืองที่คอไปตรวจดู และเราก็เจาะเลือดส่งผลค่ามะเร็งต่างๆไปด้วยเลย
นั่นแหละค่ะ ผล ชิ้นเนื้อออกมา signet ring cell poorly diff
หลังผ่าตัดคนไข้เสร็จ ขึ้นไปเจอหน้าลูก หน้าสามี ร้องไห้ใหญ่สิคะ แต่ในใจคิดว่าชั้นต้องหายสิ ลูกยังเล็ก ยังน่ารัก จะเป็นอะไรไปตอนนี้ไม่ได้
จากนั้นเมย์รีบโทรหาคุณพ่อ ซึ่งที่บ้านก็มีคุณพ่อเป็น ผอ. อยู่ที่ โรงพยาบาลแมคคอร์มิค เชียงใหม่ ทันทีที่คุณพ่อทราบข่าว พ่อซึ่งรักเรามากกว่าใครในโลกนี้บินมาหาเมย์ที่ กทม ด้วยความรวดเร็ว และพาเมย์บินกลับมารักษาตัวที่เชียงใหม่ พร้อมคำพูดที่อบอุ่นหัวใจที่สุดว่า กลับบ้านเรามารักษาตัวกันนะ "ลูกจะต้องหาย" "พระเจ้าไม่ทอดทิ้งเรา" “

หลังจากโพสต์แรกของเพจได้เผยแพร่ออกไปในโลกออนไลน์ ก็มีชาวเน็ตแห่กดถูกใจและกดติดตามเพจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตั้งแต่วันนั้น เพื่อหวังเป็นหนึ่งกำลังใจที่จะส่งให้หมอเมย์ได้สู้กับโรคร้ายไปได้อย่างไม่รู้สึกโดดเดี่ยว

ต่อมาหมอเมย์ได้โพสต์เล่าถึงสัญญาณเตือนของโรคมะเร็ง ที่เธอได้ประสบด้วยตัวเอง ว่า
“ตอนที่เมย์ท้องลูกคนที่ 2 มีอาการอ้วกเป็นเลือดไหลไม่หยุด จนช็อก เมื่ออายุครรภ์ได้ 36 สัปดาห์ คิดว่ามะเร็งน่าจะอยู่กับเรามาตั้งแต่ตอนนั้นแล้วล่ะ แต่ตอนนั้นไม่ได้ตัดชิ้นเนื้อเพื่อตรวจหามะเร็ง เพราะมีอีกหนึ่งชีวิตอยู่ด้วย เวลาจึงล่วงเลยต่อมา เมย์อยากจะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ การจะหยุดเต้าเพื่อรักษา H.pylori จึงเป็นเรื่องรองลงไป ช่วงนั้นร่างกายก็เริ่มมีสัญญาณบอกถึงความล้า เรี่ยวแรงน้อยลง ต้องกินกาแฟทุกวันเพื่อให้มีแรง แต่ก็ไม่ได้คิดถึงเจ้าเนื้อร้ายอยู่ดี เพราะแม่ลูกอ่อนก็เหนื่อยแบบนี้เป็นปกติ หากย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะรีบไปส่องกล้องซ้ำตั้งแต่ 3 เดือนแรก”

หลังรู้ตัวแน่แล้วว่าเป็นมะเร็ง หมอเมย์ก็ยังต้องต่อสู้กับภาวะแทรกซ้อนที่สามารถทำให้เสียชีวิตได้ทุกเมื่อ นั่นคือ DIC (Disseminated Intravascular Coagulation) หรือภาวะเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดแบบแพร่กระจาย คือ ภาวะที่กลไกการแข็งตัวของเลือดทำงานผิดปกติและเกิดการแพร่กระจาย ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดลิ่มเลือดที่ทำให้เส้นเลือดอุดตัน ทั้งแบบกึ่งเฉียบพลันหรือเรื้อรัง ลดการไหลเวียนของเลือดและอุดกั้นไม่ให้เลือดไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย

หมอเมย์โพสต์เล่าวันแรกของการเริ่มต้นให้คีโมของเธอเอง ว่า
“วันแรกของการเริ่มต้นให้คีโม 31 ธค 61 เมย์ต้องเริ่มคีโมละหล่ะ ตอนนี้เมย์ยังไม่ได้ทำ PED scan เพราะควรเริ่มให้คีโมก่อนเลย เนื่องจากเชื้อมะเร็งลามไปหลายที่ละ ที่แน่ๆ มีปอด และต่อมน้ำเหลืองที่คอ ยอมรับเลยว่ามะเร็งที่เป็นนี่ตัวโหดมากๆ แต่เอาแหน่ะ ปัจจุบันยาดี เราต้องอยู่ร่วมกันได้ มะเร็งเธอต้องไม่ทำร้ายเรานะคะ
ตื่นเต้นมากๆ การให้คีโมครั้งแรก กล้าๆกลัวๆไปหมด ครั้งแรกฉีดยา ค่ะ อาการร้อนๆไปทั้งตัว ชาหน้า ชามือ ตัวร้อนไปหมด แอร์เปิด 19 ยังร้อนอยู่ คุณหมอจิ๋ว เจ้าของไข้ พี่ๆพยาบาลที่แมคคอร์มิค คอยดูแลช่วยเหลือดีมากๆ มีกำลังใจที่สำคัญ คุณพ่อ คุณแม่อยู่ข้างๆ มีกำลังใจจากครอบครัว สามี ลูกๆ เพื่อน พี่ น้อง และพี่เลี้ยงเด็กๆ กลั้นใจสู้ไปค่า หลังจากฉีด คุณหมอก็ให้รับคีโมแบบกินต่อ พร้อมแจ้งเกี่ยวกับอาการข้างเคียงที่จะต้องตามมา ลุยสิคะ ตอนนี้ให้คีโมมา 5 วันละค่า เริ่มปรับตัวไปกับมันไป รอดูต่อไปค่า”

แม้ในขณที่หมอเมย์กำลังต่อสู้กับโรคร้ายและวิธีการที่จะยับยั้งเชื้อไม่ให้แพร่กระจายไปมากกว่าเดิมด้วยความทรามาน เธอก็ยังอยากแบ่งปันความรู้ให้กับเพื่อนๆในเพจทุกคน ถึงการปฏิบัติตัวเองเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง ว่า
“- การรับประทานอาหารให้ครบทั้ง หมู่ ได้แก่ เนือสัตว์ชนิดต่าง ๆ แป้ง ข้าว เผือกมัน นํ้าตาล
ไขมัน และอาหารจําพวกผัก ผลไม้ ธัญพืช เป็นประจําเพราะในผักและผลไม้บางชนิดมีสารทีมีฤทธิ
ยับยั้งการเกิดโรคมะเร็งได้
- การควบคุมดูแลรักษานํ้าหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติไม่ให้อ้วนหรือผอมเกินไป
- ควรกําจัดอาหารประเภทไขมัน โคเลสตรอรอลและไตรกลีเซอไรด์
- หลีกเลียงอาหารทีมีเชื้อรา เช่น พริกแห้ง หรือกระเทียมมีราขึ้น ไม่ควรล้างและนํามาประกอบอาหารอีกเพราะสารพิษของเชื้อราทนความร้อนได้ และอาจก่อให้เกิดโรคมะเร็ง
- หลีกเลียงการรับประทานอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ เพราะจําทําให้เกิดโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อ
นํ าดีในตับได้
- หลีกเลียงการรับประทานเนื้อสัตว์รมควัน ปิ้ง ย่าง ทอดจนเกรียมไหม้ เพราะอาหารทีเกรียมไหม้
จะมีสารก่อมะเร็ง เช่น ไฮโดรคารบอนด์ ---ลาก่อน หมูกระทะอันเป็นที่รัก ต่อจากนี้ แค่นานๆเราค่อยแวะเวียนมาเจอกันนะคะ---
- หลีกเลียงการรับประทานอาหารหมักดอง หรืออาหารรมควัน อาหารใส่สี ใส่ดินประสิว เช่น
ไส้กรอก แฮม แหนม ปลาร้า เนื อเค็ม
- หลีกเลียงอาหารทีร้อนจัดเพราะจะทําให้เกิดความระคายเคืองต่อเยือบุหลอดอาหาร ถ้าเกิดซํ า ๆ
อาจเกิดมะเร็งหลอดอาหารได้
- หลีกเลียงการดืมแอลกอฮอล์เพราะ ถ้าดืมมาก ๆ จะเกิดการระคายเคืองเยือบุหลอดอาหารและ
กระเพาะอาหาร ถ้าดืมมาก ๆ และมีสารพิษจากบุหรี เซลล์จะเปลียนแปลงไปเป็นเซลล์มะเร็งได้”

ซึ่งตลอดระยะเวลากว่า 4 เดือนที่ เพจหมอเมย์สู้มะเร็งระยะสุดท้าย ได้ปรากฏขึ้นมาบนโลกออนไลน์ ซึ่งในแต่ละช่วงเวลา ช่วงวันที่หมอเมย์พอจะมีแรงเขียน เธอก็มักจะนำเรื่องราวของการรักษาตัวเธอเองมาโพสต์แชร์กับเพื่อนๆในเพจอยู่เสมอ ซึ่งกว่าที่หมอเมย์จะรู้ตัวว่าเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารระยะที่ 4 เธอก็พบว่า โรคร้ายนี้อยู่กับเธอมาได้ 5 ปีแล้ว นอกจากหมอเมย์จะโพสต์เรื่องราวเกี่ยวกับการรักษาตัวจากโรคร้าย เธอก็ได้แชร์การใช้ชีวิตประจำวันของเธอและครอบครัว ลูกๆที่น่ารักทั้งสองคนไปพร้อมกันด้วย หลายๆคนที่ติดตามเพจอยู่ต่างก็คอยให้กำลังใจหมอเมย์อยู่ไม่ขาด และเฝ้าหวังว่าเธอจะหายจากโรคร้ายนี้ เพื่อมีชีวิตที่มีความสุขกับครอบครัวของเธอต่อไป

กระทั่งวันที่ 25 มี.ค. 62 โพสต์นี้อาจเปรียบได้ว่าเป็นโพสต์สุดท้ายของหมอเมย์ ที่เธอได้มีโอกาสเขียนและอัปเดตลงในเพจของตัวเอง ว่าตอนนี้อาการของเธอค่อนข้างทรุดลงเนื่องจากภาวะแทรกซ้อน DIC
“หายไปนานเพราะไม่มีแรงพิมพ์อีกแล้วค่า ช่วงก่อนอาการทรุดลงDIC ก็ยังไม่หาย 12 มีนาได้รับยาเคมีบำบัดคอร์สที่ 4 13มีนาคม ได้ยา PEMBROLIZUMAB เป็น การเริ่มยา immunotheraphy โดสแรกของเมย์ เมย์อาการทรุด อ่อนเพลีย กดไขกระดูก กระดิกนิ้วก้อยก็ยังไม่มีแรง ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ใช้ยาวมาจนถึงวันนี้ เกิดมาก็เพิ่งได้สัมผัสเนี่ยแหละค่ะว่าการที่เราเหนื่อยถึงขั้น ที่ไม่สามารถหายใจได้เองเป็นยังไง มันพะงาบๆเลยตอนที่ไม่ได้ใส่เครื่องช่วยหายใจ ตอนนี้เมย์ไอน้อยลง การที่เมย์นอนเป็นคนป่วยติดเตียง ทำให้เมย์เข้าใจในมุมมองคนไข้มากขึ้นมากๆ เราช่วยเหลือตัวเองไม่ไหวจริงๆ แม้กระทั่งเพียงหายใจก็เหนื่อยแล้ว ตอนนอนก็ต้องนอนหงายเท่านั้น เพราะนอนตะแคงแล้วหายใจไม่ออก ปวดหลัง ปวดเอว ปวดก้นกบ
บางครั้งแพทย์เราก็มักจะทำตามแต่ตามตำราก่อนเสมอ เมย์ยังจำได้ว่า ตอนที่คุณยายทั้งสองคนเป็นผู้ป่วยติดเตียง เมย์ก็ไปบังคับยายทั้งสองให้ขยับตัวบ่อย โดยลืมคิดถึงความเหนื่อย ความทรมานของคุณยาย คุณยายอยู่บนฟ้าแล้ว ส่งกำลังใจให้หลานนะคะ รักคุณยายที่สุดค่ะ
ตอนนี้เมย์อยากแข็งแรงขึ้น ไม่อยากอยู่สภาพผู้ป่วยติดเตียง ที่ลูกๆมาเยี่ยมทำได่แค่โบกมือทักทาย
#เพราะทุกลมหายใจของฉันสำคัญเสมอ_หมอเมย์”

และในที่สุดหมอเมย์ก็ได้จากไปอย่างสงบในวันนี้( 20 เม.ย. 62 ) ซึ่งนั่นเองก็ทำเอาคนที่เฝ้าติดตามอาการของหมอเมย์ผ่านเพจ หมอเมย์สู้มะเร็งระยะสุดท้าย ต่างก็รู้สึกเศร้าไปตามๆกัน เพราะทุกคนต่างก็ได้เห็นถึงการต่อสู้ และความพยายามที่จะใช้ชีวิตในช่วงสุดท้ายของหมอเมย์ได้อย่างมีความสุขที่สุด นอกจากทุกคนจะเป็นกำลังใจให้หมอเมย์ตลอดมาแล้ว หมอเมย์เองก็เป็นกำลังใจให้กับคนที่ต้องเผชิญกับโรคร้ายนี้ให้ใช้ชีวิตอยู่ต่อไปด้วยความสุขที่สุดดีกว่าเศร้าและกังวล ซึ่งหมอเมย์ได้เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้วว่าเธอ เป้นหมอนักสู้ ที่ถึงแม้ตัวเองจะป่วยหนักแค่ไหนแต่ก็ยังมีรอยยิ้มเปื้อนบนในหน้าเสมอ

สุดท้ายนี้อีจัน ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของหมอเมย์ด้วยนะคะ ไปสู่สุคตินะคะหมอเมย์ ได้พักจริงๆเสียที

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0