โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

บันเทิง

ชวนอ่านข้อคิดดี ๆ จาก ก๊อต จิรายุ คนอะไรหน้าตาก็ดี ความคิดก็ดี!

LINE TODAY

เผยแพร่ 27 ก.ย 2562 เวลา 05.06 น.

เป็นอีกหนึ่งนักแสดงฝีมือดีที่มีผลงานเด็ด ๆ นับไม่ถ้วน ก็อต จิรายุ ตันตระกูล ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงมีแฟนคลับที่รักเขามากขนาดนี้ เพราะหนุ่มก็อตไม่ได้มีดีแค่หน้าและฝีมือการแสดงที่เก่งกาจ แต่ยังมีความคิดดี ๆ อีกด้วย ดูได้จากโพสต์ในอินสตาแกรมส่วนตัวที่มักแฝงไปด้วยข้อคิดและคติเตือนใจให้เราได้อ่านอยู่เสมอ ๆ เลย

คนเราจะจินตนาการถึงสิ่งใดออกก็ต่อเมื่อเคยผ่านหูผ่านตามา

หากไม่เคยเห็นหรือได้ยินจะไปนึกออกได้อย่างไร!

มุมคิดก็เช่นเดียวกัน

เราคิดได้แต่มุมเดิมๆ เพราะไม่เคยอ่านหรือฟังมุมอื่นๆ 

พอเจอเข้ากับปัญหาที่มุมคิดเดิมไม่สามารถช่วยแก้ไขได้…เราจึงไปไม่เป็น 

วนเป็นหนูติดจั่นซ้ำซากอยู่ในวงจรของความล้มเหลวเดิมๆ 

แค่เราตัดสินใจลงทุนเวลากับการอ่านหนังสือดีดีวันละนิดๆหน่อยๆ 

จากที่มีมุมคิดอยู่น้อยนิด มุมคิดก็จะเพิ่มขึ้นเพราะผ่านได้ผ่านตา 

อย่าคิดว่าปัญหามันจะหมดไปโดยที่เราไม่ต้องทำอะไร 

ปัญหามันข้ามไปได้ก็ตอนที่เรามีสมองเหนือมัน!

ซึ่งนั่นหมายความว่าสมองเราต้องได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างสม่ำเสมอ 

ความรู้(ที่ดีและตรงประเด็น) ที่เราเปิดรับอย่างสม่ำเสมอจะค่อยๆประสานรวมกันเป็นไอเดียในการแก้ปัญหา 

สมองของเราจะประมวลผลได้ดีขึ้นเพราะองค์ความรู้ใหม่ๆ 

ราวกันคนที่หาทางกลับบ้านถูกไม่ว่าจะปล่อยเขาจากมุมไหนของถนน(เพราะเขาชำนาญหลายเส้นทาง) 

จำไว้ว่า ไม่ว่าเราจะเบนความสนใจไปที่ความบันเทิงใดก็ตาม ปัญหาก็ยังคงอยู่ที่เดิม! 

ปัญหาไม่ได้ดับไปเพราะเราหันหน้าหนีมัน 

แต่มันดับไปเพราะตัวเรานี้พัฒนาอย่างไม่หยุด และมีใจมุ่งมั่นที่จะก้าวผ่านมันไป ไปสู่สิ่งที่ดีกว่า 

ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่ฝ่าฟันปัญหาอยู่ 

ขอให้ท่านเจอกับองค์ความรู้ที่เหมาะสม 

ขอให้ท่านตัดสินใจลงทุนเวลาให้อาหารสมอง 

ขอให้ท่านค้นพบศักยภาพมากมายที่หลับใหลอยู่ในตัวเอง 

#ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน #บันทึกส่วนตัว

ดูโพสต์นี้บน Instagram

คนเราจะจินตนาการถึงสิ่งใดออกก็ต่อเมื่อเคยผ่านหูผ่านตามา หากไม่เคยเห็นหรือได้ยินจะไปนึกออกได้อย่างไร! มุมคิดก็เช่นเดียวกัน เราคิดได้แต่มุมเดิมๆเพราะไม่เคยอ่านหรือฟังมุมอื่นๆ พอเจอเข้ากับปัญหาที่มุมคิดเดิมไม่สามารถช่วยแก้ไขได้…เราจึงไปไม่เป็น วนเป็นหนูติดจั่นซ้ำซากอยู่ในวงจรของความล้มเหลวเดิมๆ แค่เราตัดสินใจลงทุนเวลากับการอ่านหนังสือดีดีวันละนิดๆหน่อยๆ จากที่มีมุมคิดอยู่น้อยนิด มุมคิดก็จะเพิ่มขึ้นเพราะผ่านได้ผ่านตา อย่าคิดว่าปัญหามันจะหมดไปโดยที่เราไม่ต้องทำอะไร ปัญหามันข้ามไปได้ก็ตอนที่เรามีสมองเหนือมัน! ซึ่งนั่นหมายความว่าสมองเราต้องได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างสม่ำเสมอ ความรู้(ที่ดีและตรงประเด็น)ที่เราเปิดรับอย่างสม่ำเสมอจะค่อยๆประสานรวมกันเป็นไอเดียในการแก้ปัญหา สมองของเราจะประมวลผลได้ดีขึ้นเพราะองค์ความรู้ใหม่ๆ ราวกันคนที่หาทางกลับบ้านถูกไม่ว่าจะปล่อยเขาจากมุมไหนของถนน(เพราะเขาชำนาญหลายเส้นทาง) จำไว้ว่า ไม่ว่าเราจะเบนความสนใจไปที่ความบันเทิงใดก็ตาม ปัญหาก็ยังคงอยู่ที่เดิม! ปัญหาไม่ได้ดับไปเพราะเราหันหน้าหนีมัน แต่มันดับไปเพราะตัวเรานี้พัฒนาอย่างไม่หยุด และมีใจมุ่งมั่นที่จะก้าวผ่านมันไป ไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่ฝ่าฟันปัญหาอยู่ ขอให้ท่านเจอกับองค์ความรู้ที่เหมาะสม ขอให้ท่านตัดสินใจลงทุนเวลาให้อาหารสมอง ขอให้ท่านค้นพบศักยภาพมากมายที่หลับใหลอยู่ในตัวเอง #ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน #บันทึกส่วนตัว

โพสต์ที่แชร์โดย GOT JIRAYU (@godfather1632) เมื่อ ก.ย. 26, 2019 เวลา 6:48pm PDT

ยิ่งโตยิ่งรู้ว่า…เรารู้จักตัวเองน้อยมาก เพราะการฝึกฝนที่ผ่านมามีแต่ฝึกมองที่ไกลตัว #บันทึกส่วนตัว

ดูโพสต์นี้บน Instagram

ยิ่งโตยิ่งรู้ว่า…เรารู้จักตัวเองน้อยมาก เพราะการฝึกฝนที่ผ่านมามีแต่ฝึกมองที่ไกลตัว #บันทึกส่วนตัว

โพสต์ที่แชร์โดย GOT JIRAYU (@godfather1632) เมื่อ ก.ย. 25, 2019 เวลา 10:13pm PDT

เสพติดแรงบันดาลใจ
แต่ไม่ตัดสินใจลงมือทำ
เท่ากับตื่นเต้นความรู้
และเห็นความรู้เป็นแค่ความบันเทิง
รู้จักทำแม้มีแรงบันดาลใจเพียงน้อยนิด
ย่อมคืบหน้าและมีประสบการณ์ตรง
———————————————
เราเรียนรู้เพื่อมาปรับใช้
หาใช่เรียนมาเพื่อรู้เฉย
#บันทึกส่วนตัว #เตือนตนเอง

ดูโพสต์นี้บน Instagram

เสพติดแรงบันดาลใจ แต่ไม่ตัดสินใจลงมือทำ เท่ากับตื่นเต้นความรู้ และเห็นความรู้เป็นแค่ความบันเทิง รู้จักทำแม้มีแรงบันดาลใจเพียงน้อยนิด ย่อมคืบหน้าและมีประสบการณ์ตรง ——————————————— เราเรียนรู้เพื่อมาปรับใช้ หาใช่เรียนมาเพื่อรู้เฉย #บันทึกส่วนตัว #เตือนตนเอง

โพสต์ที่แชร์โดย GOT JIRAYU (@godfather1632) เมื่อ ส.ค. 30, 2019 เวลา 7:37pm PDT

หลายครั้งที่ความทรมานใจของเราเกิดขึ้นจากความไม่รู้จักพอของจิตใจเราเอง  

ดูโพสต์นี้บน Instagram

หลายครั้งที่ความทรมานใจของเราเกิดขึ้นจากความไม่รู้จักพอของจิตใจเราเอง 📷 @thenapat_photographer

โพสต์ที่แชร์โดย GOT JIRAYU (@godfather1632) เมื่อ ก.ย. 1, 2019 เวลา 6:48am PDT

ความใจแคบ
ทำให้เราสร้างศัตรูขึ้นมาแม้กระทั่งคนที่เราควรจะคบหาเป็นมิตร
ความใจแคบ
ทำลายโอกาสมากมายและเพิ่มพูนอคติในจิตใจเรา
คนจำนวนไม่น้อยปิดประตูของเหตุผลและการตรวจสอบไว้ เขาเหล่านั้นจึงเอาตัวเองเข้าไปผูกพันกับความขัดแย้งอย่างไม่รู้จริง…เสมือนวางยาพิษไว้ในจิตใจตน
#จากบันทึกส่วนตัวเล่มล่าสุด #บันทึกการอ่าน

ดูโพสต์นี้บน Instagram

ความใจแคบ ทำให้เราสร้างศัตรูขึ้นมาแม้กระทั่งคนที่เราควรจะคบหาเป็นมิตร ความใจแคบ ทำลายโอกาสมากมายและเพิ่มพูนอคติในจิตใจเรา คนจำนวนไม่น้อยปิดประตูของเหตุผลและการตรวจสอบไว้ เขาเหล่านั้นจึงเอาตัวเองเข้าไปผูกพันกับความขัดแย้งอย่างไม่รู้จริง…เสมือนวางยาพิษไว้ในจิตใจตน #จากบันทึกส่วนตัวเล่มล่าสุด #บันทึกการอ่าน

โพสต์ที่แชร์โดย GOT JIRAYU (@godfather1632) เมื่อ ก.ย. 2, 2019 เวลา 9:40pm PDT

สังคมจะก้าวขึ้นสูงหากคนในสังคมกล้าหาญที่จะให้อภัยกัน
ในขณะเดียวกันสังคมจะตกต่ำเมื่อจิตใจผู้คนไร้เมตตาและคิดว่าการแสดงออกถึงความเกลียดชังเป็นเรื่องที่ควร
——————————————————
มนุษย์เรามีจิตดวงหนึ่งที่เรียกว่า”อภัย”
เราควรจะฝึกให้จิตดวงนี้ได้เบ่งบานออกจากตัวเรา
เหมือนกับดอกไม้ที่ให้ความสดใสแก่โลก
และให้ความหอมส่งเสริมบรรยากาศรอบข้าง
ใครบ้างหละไม่ต้องการได้รับการให้อภัย?
ดูตัวเรานี้สิ…เต็มไปด้วยข้อผิดพลาดทั้งเล็กทั้งใหญ่
แน่นอนเราล้วนต้องการคนเห็นใจมากกว่าทับถม
ไฉนผู้อื่นจะไม่ต้องการหละ?
เราควรมองย้อนกลับมาที่ตัวเอง
มองด้วยสติไตร่ตรองแล้วจะเห็นว่าเรานี้ก็มีผิดอยู่ไม่น้อย
แล้วเริ่มจากการให้อภัยตัวเองเสียก่อน
เพราะนี่คือเมล็ดพันธ์ุแรกที่เราควรปลูกไว้ในดินของจิตใจ
แน่นอนว่าเมล็ดพันธ์ุนี้จะเติบโตและเบ่งบานจนคนอื่นได้รับประโยชน์ไปด้วย
——————————————————
คนเราไร้เมตตาต่อผู้อื่น
โดยเริ่มจากการไร้เมตตาต่อตัวเองก่อน!
เรากดทับตัวเองไว้กับเรื่องมากมายด้วยความรู้สึกผิดกับสิ่งที่เราเคยทำ
และเราก็ยังไม่ได้ให้อภัยตัวเองอย่างจริงๆจังๆ
เราเกลียดตัวเองและไม่กล้าที่จะยอมรับตัวเองในหลายๆเรื่อง
จนในที่สุดความเกลียดชังนั้นก็สุมอยู่เต็มหัวใจ
พอเราเห็นผู้อื่นมีการกระทำที่คล้ายกับตัวเราในมุมที่เราไม่ยอมรับ เราจึงเดือดดาลเป็นทับทวี
ผู้อื่นได้เป็นกระจกสะท้อนให้เราเห็นตัวเองในมุมที่เราไม่อยากจะยอมรับว่าเราก็เป็น
——————————————————-
จงให้อภัยตัวเอง…และให้อภัยอย่างสม่ำเสมอ
เพราะเรานี้มีหลายเรื่องที่เป็นดั่งเด็กน้อยที่โง่เขลา แม้เราจะดูเหมือนโตแล้วก็ตาม
จงกล้าที่จะโอบกอดตัวเองและสัมผัสกับตัวเองด้วยความอ่อนโยนของการให้อภัย
จงเข้าใจว่าเรานี้เป็นมนุษย์ผู้ไม่สมบูรณ์แบบ
เป็นไปได้ที่เราจะผิดพลาด
เป็นไปได้ที่เราจะขาดสติ
เป็นไปได้ที่เราจะประมาทเลินเล่อ
จงให้อภัยตัวเอง
และฝึกฝนตัวเองให้มีสติมากขึ้น
#บันทึกส่วนตัวหลังจากทบทวนตัวเองในวันที่มีความเกลียดชัง

ดูโพสต์นี้บน Instagram

สังคมจะก้าวขึ้นสูงหากคนในสังคมกล้าหาญที่จะให้อภัยกัน ในขณะเดียวกันสังคมจะตกต่ำเมื่อจิตใจผู้คนไร้เมตตาและคิดว่าการแสดงออกถึงความเกลียดชังเป็นเรื่องที่ควร —————————————————— มนุษย์เรามีจิตดวงหนึ่งที่เรียกว่า”อภัย” เราควรจะฝึกให้จิตดวงนี้ได้เบ่งบานออกจากตัวเรา เหมือนกับดอกไม้ที่ให้ความสดใสแก่โลก และให้ความหอมส่งเสริมบรรยากาศรอบข้าง ใครบ้างหละไม่ต้องการได้รับการให้อภัย? ดูตัวเรานี้สิ…เต็มไปด้วยข้อผิดพลาดทั้งเล็กทั้งใหญ่ แน่นอนเราล้วนต้องการคนเห็นใจมากกว่าทับถม ไฉนผู้อื่นจะไม่ต้องการหละ? เราควรมองย้อนกลับมาที่ตัวเอง มองด้วยสติไตร่ตรองแล้วจะเห็นว่าเรานี้ก็มีผิดอยู่ไม่น้อย แล้วเริ่มจากการให้อภัยตัวเองเสียก่อน เพราะนี่คือเมล็ดพันธ์ุแรกที่เราควรปลูกไว้ในดินของจิตใจ แน่นอนว่าเมล็ดพันธ์ุนี้จะเติบโตและเบ่งบานจนคนอื่นได้รับประโยชน์ไปด้วย —————————————————— คนเราไร้เมตตาต่อผู้อื่น โดยเริ่มจากการไร้เมตตาต่อตัวเองก่อน! เรากดทับตัวเองไว้กับเรื่องมากมายด้วยความรู้สึกผิดกับสิ่งที่เราเคยทำ และเราก็ยังไม่ได้ให้อภัยตัวเองอย่างจริงๆจังๆ เราเกลียดตัวเองและไม่กล้าที่จะยอมรับตัวเองในหลายๆเรื่อง จนในที่สุดความเกลียดชังนั้นก็สุมอยู่เต็มหัวใจ พอเราเห็นผู้อื่นมีการกระทำที่คล้ายกับตัวเราในมุมที่เราไม่ยอมรับ เราจึงเดือดดาลเป็นทับทวี ผู้อื่นได้เป็นกระจกสะท้อนให้เราเห็นตัวเองในมุมที่เราไม่อยากจะยอมรับว่าเราก็เป็น ——————————————————- จงให้อภัยตัวเอง…และให้อภัยอย่างสม่ำเสมอ เพราะเรานี้มีหลายเรื่องที่เป็นดั่งเด็กน้อยที่โง่เขลา แม้เราจะดูเหมือนโตแล้วก็ตาม จงกล้าที่จะโอบกอดตัวเองและสัมผัสกับตัวเองด้วยความอ่อนโยนของการให้อภัย จงเข้าใจว่าเรานี้เป็นมนุษย์ผู้ไม่สมบูรณ์แบบ เป็นไปได้ที่เราจะผิดพลาด เป็นไปได้ที่เราจะขาดสติ เป็นไปได้ที่เราจะประมาทเลินเล่อ จงให้อภัยตัวเอง และฝึกฝนตัวเองให้มีสติมากขึ้น #บันทึกส่วนตัวหลังจากทบทวนตัวเองในวันที่มีความเกลียดชัง

โพสต์ที่แชร์โดย GOT JIRAYU (@godfather1632) เมื่อ ส.ค. 17, 2019 เวลา 6:36pm PDT

เมื่อความเห็นแก่ตัวของเราไม่ถูกตอบสนองให้เป็นไปตามใจอยาก
เราจึงไม่พอใจจนหลายครั้งก็แสดงออกเป็นการประชดประชัน
บางครั้งเราแสดงออกทางสีหน้าบ่งบอกให้เขารู้ว่าเราไม่พอใจ
บางครั้งเราแสดงออกทางวาจาบ่งบอกว่าเราคับแค้นใจเป็นที่สุด
และบางครั้งเรากระทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อให้เขารู้สึกถึงความอึดอัดในใจเรา
——————————————————-
เราเผลอคิดและหลงผิดว่าผู้อื่นเป็นต้นเหตุให้เราทรมานจิต
แต่แท้จริงแล้วเรามันก็แค่คนเห็นแก่ตัวที่เอาแต่ใจอยากให้โลกทั้งใบเป็นไปตามใจนึก
เราอยากให้ต้นมะม่วงออกผลเป็นมังคุด
พอมันไม่ยอมเป็นไปตามใจ
เราก็บ้าคลั่งกล่าวหาว่าต้นมะม่วงนี้เลวแสนเลว
แท้จริงต้นมะม่วงต้นนั้นมันไม่ได้เลว
มันออกผลเป็นลูกมะม่วงเพราะนั่นคือธรรมชาติของมัน
เราต่างหากไม่ยอมเข้าใจธรรมชาติมัน
และไม่ใช่แค่ไม่เข้าใจ
แต่ไม่พยายามเข้าใจเลยด้วยซ้ำ
——————————————————
เมื่อเรารักตัวเองอย่างแท้จริง
เราจึงจะเข้าใจได้ว่าผู้อื่นก็รักตัวเองเช่นกัน
เขาและเรามอบความรักให้กับตัวเองในคนละรูปแบบกัน เฉกเช่นต้นไม้ในป่าเดียวกัน ดูดซับแร่ธาตุจากแหล่งเดียวกัน แต่ออกกิ่งและให้ผลที่ต่างกันไป
—————————————————-
จงพยายามเข้าใจธรรมชาติของเพื่อนมนุษย์
มากกว่าที่จะพยายามตัดสินเขาเพราะเรานี้เห็นแก่ตัว”อยากเห็นเขาเป็นไปตามใจอยาก”
#บันทึกส่วนตัวเล่มล่าสุด #เตือนตนด้วยตน

ดูโพสต์นี้บน Instagram

เมื่อความเห็นแก่ตัวของเราไม่ถูกตอบสนองให้เป็นไปตามใจอยาก เราจึงไม่พอใจจนหลายครั้งก็แสดงออกเป็นการประชดประชัน บางครั้งเราแสดงออกทางสีหน้าบ่งบอกให้เขารู้ว่าเราไม่พอใจ บางครั้งเราแสดงออกทางวาจาบ่งบอกว่าเราคับแค้นใจเป็นที่สุด และบางครั้งเรากระทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อให้เขารู้สึกถึงความอึดอัดในใจเรา ——————————————————- เราเผลอคิดและหลงผิดว่าผู้อื่นเป็นต้นเหตุให้เราทรมานจิต แต่แท้จริงแล้วเรามันก็แค่คนเห็นแก่ตัวที่เอาแต่ใจอยากให้โลกทั้งใบเป็นไปตามใจนึก เราอยากให้ต้นมะม่วงออกผลเป็นมังคุด พอมันไม่ยอมเป็นไปตามใจ เราก็บ้าคลั่งกล่าวหาว่าต้นมะม่วงนี้เลวแสนเลว แท้จริงต้นมะม่วงต้นนั้นมันไม่ได้เลว มันออกผลเป็นลูกมะม่วงเพราะนั่นคือธรรมชาติของมัน เราต่างหากไม่ยอมเข้าใจธรรมชาติมัน และไม่ใช่แค่ไม่เข้าใจ แต่ไม่พยายามเข้าใจเลยด้วยซ้ำ —————————————————— เมื่อเรารักตัวเองอย่างแท้จริง เราจึงจะเข้าใจได้ว่าผู้อื่นก็รักตัวเองเช่นกัน เขาและเรามอบความรักให้กับตัวเองในคนละรูปแบบกัน เฉกเช่นต้นไม้ในป่าเดียวกัน ดูดซับแร่ธาตุจากแหล่งเดียวกัน แต่ออกกิ่งและให้ผลที่ต่างกันไป —————————————————- จงพยายามเข้าใจธรรมชาติของเพื่อนมนุษย์ มากกว่าที่จะพยายามตัดสินเขาเพราะเรานี้เห็นแก่ตัว”อยากเห็นเขาเป็นไปตามใจอยาก” #บันทึกส่วนตัวเล่มล่าสุด #เตือนตนด้วยตน

โพสต์ที่แชร์โดย GOT JIRAYU (@godfather1632) เมื่อ ก.ค. 31, 2019 เวลา 6:48pm PDT

เมื่อเราเอาความสุขของตัวเองไปขึ้นอยู่กับคนอื่น
เราก็จะทรมานใจเพราะไม่มีใครเป็นไปดั่งเราที่คาดหวังได้เสมอ
เรากำลังคาดหวังความสุขจากสิ่งที่แปรปรวนอยู่ตลอดเวลา
เราไม่เข้าใจธรรมชาติของผู้คนที่ว่า”ไม่มีใครไม่เปลี่ยนแปลง”
ทุกชีวิตเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาแม้แต่ตัวเรา
ดูเราวันนี้กับเราตอน5ขวบสิ
เราจะกล้าพูดอย่างเต็มปากมั้ยว่านี่คือคนๆเดียวกันในเมื่อมันเปลี่ยนแปลงมาซะขนาดนี้
คนที่ไม่เข้าใจธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลง
จะใช้พลังงานและเวลาอย่างมากพยายามทำหลายสิ่งให้คงอยู่อย่างถาวร
ทั้งๆที่ตัวเขาเองก็ยังห้ามการเปลี่ยนแปลงของตัวเองไม่ได้
เขาไม่ต้องการจะแก่ขึ้นแต่ร่างกายของเขาก็วิ่งไปสู่ความแก่ไม่หยุดหย่อน
ตัวเขาเองยังควบคุมชะตาตัวเองไม่ได้
แล้วนับประสาอะไรจะไปจะไปควบคุมชีวิตผู้อื่นให้เป็นดั่งใจ
#ทศกัณฐ์ตายเพราะเอาหัวใจไปฝากไว้กับคนอื่น
#ชายหญิงในโลกก็ตายทั้งเป็นดั่งทศกัณฐ์
จงเก็บความสุขไว้กับตัวเอง อย่าให้มันขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ มิเช่นนั้นเราจะไม่ต่างจากขอทาน…เมื่อเข้าใจว่าธรรมชาตินั้นย่อมเปลี่ยนแปลงเราก็จะดำรงชีวิตอย่างมีความสุขและเบิกบานไปกับความไม่มั่งคงของสรรพสิ่ง

ดูโพสต์นี้บน Instagram

เมื่อเราเอาความสุขของตัวเองไปขึ้นอยู่กับคนอื่น เราก็จะทรมานใจเพราะไม่มีใครเป็นไปดั่งเราที่คาดหวังได้เสมอ เรากำลังคาดหวังความสุขจากสิ่งที่แปรปรวนอยู่ตลอดเวลา เราไม่เข้าใจธรรมชาติของผู้คนที่ว่า”ไม่มีใครไม่เปลี่ยนแปลง” ทุกชีวิตเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาแม้แต่ตัวเรา ดูเราวันนี้กับเราตอน5ขวบสิ เราจะกล้าพูดอย่างเต็มปากมั้ยว่านี่คือคนๆเดียวกันในเมื่อมันเปลี่ยนแปลงมาซะขนาดนี้ คนที่ไม่เข้าใจธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลง จะใช้พลังงานและเวลาอย่างมากพยายามทำหลายสิ่งให้คงอยู่อย่างถาวร ทั้งๆที่ตัวเขาเองก็ยังห้ามการเปลี่ยนแปลงของตัวเองไม่ได้ เขาไม่ต้องการจะแก่ขึ้นแต่ร่างกายของเขาก็วิ่งไปสู่ความแก่ไม่หยุดหย่อน ตัวเขาเองยังควบคุมชะตาตัวเองไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรจะไปจะไปควบคุมชีวิตผู้อื่นให้เป็นดั่งใจ #ทศกัณฐ์ตายเพราะเอาหัวใจไปฝากไว้กับคนอื่น #ชายหญิงในโลกก็ตายทั้งเป็นดั่งทศกัณฐ์ จงเก็บความสุขไว้กับตัวเอง อย่าให้มันขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ มิเช่นนั้นเราจะไม่ต่างจากขอทาน…เมื่อเข้าใจว่าธรรมชาตินั้นย่อมเปลี่ยนแปลงเราก็จะดำรงชีวิตอย่างมีความสุขและเบิกบานไปกับความไม่มั่งคงของสรรพสิ่ง

โพสต์ที่แชร์โดย GOT JIRAYU (@godfather1632) เมื่อ ก.ค. 22, 2019 เวลา 8:45pm PDT

เด็กตาบอด3กลุ่มทะเลาะกันเรื่องความจริงของช้าง
เด็กตาบอดกลุ่มแรกยืนยันว่าช้างมีลักษณะเหมือนกับเสา
เด็กตาบอดกลุ่มที่สองโถ้เถียงว่าไม่ใช่และยืนยันว่าช้างมีลักษณะเหมือนไม้กวาด
และเด็กตาบอดกลุ่มที่สามก็ห้ามปรามทั้งสองกลุ่มและบอกว่าทั้งสองกลุ่มเข้าใจผิด จริงๆแล้วช้างเหมือนท่อนไม้ต่างหาก ————————————————-
ย้อนกลับไปที่บรรพบุรุษของเด็กตาบอด3กลุ่มนี้
แน่นอนว่าเขาเหล่านี้ก็ตาบอดเช่นกัน
คนตาบอดคนแรกสำรวจช้างที่ท่อนขาแล้วก็ร้องว่า“ข้าเข้าใจแล้วช้างมันเหมือนกับแท่งเสานี้เอง”
จากนั้นเขาก็กลับไปเล่าความจริงที่ตนประสบมาให้ลูกหลานฟัง
คนตาบอดคนที่สองสำรวจช้างส่วนที่เป็นหาง
แล้วก็ร้องว่า”โอ้ข้าเข้าใจแล้วแท้จริงช้างมันมีลักษณะเหมือนไม้กวาดนี่เอง” จากนั้นเขาก็กลับไปเล่าให้ลูกหลานฟัง
คนตาบอดคนที่สามสำรวจช้างในส่วนที่เป็นงา
แล้วก็ร้องขึ้นว่า”ข้าเข้าใจแล้ว แท้จริงช้างมันเหมือนกับท่อนไม้นี่เอง” แล้วเขาก็กลับไปเล่าให้ลูกหลานที่ตาบอดฟัง
————————————————
ทั้งสามเจอความจริงของช้างจากประสบการณ์การตรง แต่ทั้งสามเจอความจริงเพียงส่วนเดียว
และความจริงส่วนเดียวนี้ก็ลามต่อไปยังคนรุ่นใหม่ แน่นอนว่าคนรุ่นใหม่ย่อมได้การฝังความเชื่อจากบรรพบุรุษ มันเป็นกรรมพันธุ์ทางสังคมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ————————————————
หากย้อนกลับไปสัก200ปีปัญหานี้อาจดูจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่พอมาเป็นยุคนี้ ยุคที่โลกทั้งใบเชื่อมโยงกันด้วยinternet
ยุคที่คนมากมายทะเลาะกันเพียงเพราะรู้ความจริงแค่ส่วนเดียว
ยุคที่คนมากมายกลายเป็นผู้พิพากษาตัดสินคนอื่นจากการรู้ความจริงแค่ส่วนเดียว
เห็นได้ชัดว่าเทคโนโลยีประมวลผลได้ดีกว่าจิตใจคน
————————————————
คนเรามืดบอดทั้งๆที่มองเห็น
คนที่ตาสว่างจะมองเห็นเรื่องจริงอย่างครอบคลุม
มองเห็นครบองค์ประกอบ
มองเห็นทุกสัดส่วน
และในขณะเดียวกันหากเขามองเห็นแค่ไม่กี่ส่วน
เขาจะเงียบสงบและไม่เปิดปาก
เพราะเขารู้ดีว่านั้นคือการกระทำที่โง่เขลา
รู้น้อยนิดจะพูดเสมือนรู้ทั้งหมดได้อย่างไร
————————————————
จนกว่าเราจะมีความสุขุมในหัวใจเราเสียก่อน
เราจึงจะเริ่มมองเห็นความจริงในมุมอื่นๆ
และหากยังไม่รู้จริงจนแตกฉานหรือยังไม่เข้าใจในรายละเอียด จงเตือนตัวเองไว้เสมอ
“เงียบและสุขุม”
จงห้ามตัวเองไว้ให้ทันก่อนที่จะพิมพ์หรือพูดเรื่องที่ตนไม่รู้จริง
และจงแยกแยะให้ออกระหว่างการแสดงความคิดเห็นกับการระบายความรู้สึกส่วนตัว
#จากสมุดบันทึกส่วนตัว #ห้องทำงาน

ดูโพสต์นี้บน Instagram

เด็กตาบอด3กลุ่มทะเลาะกันเรื่องความจริงของช้าง เด็กตาบอดกลุ่มแรกยืนยันว่าช้างมีลักษณะเหมือนกับเสา เด็กตาบอดกลุ่มที่สองโถ้เถียงว่าไม่ใช่และยืนยันว่าช้างมีลักษณะเหมือนไม้กวาด และเด็กตาบอดกลุ่มที่สามก็ห้ามปรามทั้งสองกลุ่มและบอกว่าทั้งสองกลุ่มเข้าใจผิด จริงๆแล้วช้างเหมือนท่อนไม้ต่างหาก ————————————————- ย้อนกลับไปที่บรรพบุรุษของเด็กตาบอด3กลุ่มนี้ แน่นอนว่าเขาเหล่านี้ก็ตาบอดเช่นกัน คนตาบอดคนแรกสำรวจช้างที่ท่อนขาแล้วก็ร้องว่า“ข้าเข้าใจแล้วช้างมันเหมือนกับแท่งเสานี้เอง” จากนั้นเขาก็กลับไปเล่าความจริงที่ตนประสบมาให้ลูกหลานฟัง คนตาบอดคนที่สองสำรวจช้างส่วนที่เป็นหาง แล้วก็ร้องว่า”โอ้ข้าเข้าใจแล้วแท้จริงช้างมันมีลักษณะเหมือนไม้กวาดนี่เอง” จากนั้นเขาก็กลับไปเล่าให้ลูกหลานฟัง คนตาบอดคนที่สามสำรวจช้างในส่วนที่เป็นงา แล้วก็ร้องขึ้นว่า”ข้าเข้าใจแล้ว แท้จริงช้างมันเหมือนกับท่อนไม้นี่เอง” แล้วเขาก็กลับไปเล่าให้ลูกหลานที่ตาบอดฟัง ———————————————— ทั้งสามเจอความจริงของช้างจากประสบการณ์การตรง แต่ทั้งสามเจอความจริงเพียงส่วนเดียว และความจริงส่วนเดียวนี้ก็ลามต่อไปยังคนรุ่นใหม่ แน่นอนว่าคนรุ่นใหม่ย่อมได้การฝังความเชื่อจากบรรพบุรุษ มันเป็นกรรมพันธุ์ทางสังคมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ———————————————— หากย้อนกลับไปสัก200ปีปัญหานี้อาจดูจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่พอมาเป็นยุคนี้ ยุคที่โลกทั้งใบเชื่อมโยงกันด้วยinternet ยุคที่คนมากมายทะเลาะกันเพียงเพราะรู้ความจริงแค่ส่วนเดียว ยุคที่คนมากมายกลายเป็นผู้พิพากษาตัดสินคนอื่นจากการรู้ความจริงแค่ส่วนเดียว เห็นได้ชัดว่าเทคโนโลยีประมวลผลได้ดีกว่าจิตใจคน ———————————————— คนเรามืดบอดทั้งๆที่มองเห็น คนที่ตาสว่างจะมองเห็นเรื่องจริงอย่างครอบคลุม มองเห็นครบองค์ประกอบ มองเห็นทุกสัดส่วน และในขณะเดียวกันหากเขามองเห็นแค่ไม่กี่ส่วน เขาจะเงียบสงบและไม่เปิดปาก เพราะเขารู้ดีว่านั้นคือการกระทำที่โง่เขลา รู้น้อยนิดจะพูดเสมือนรู้ทั้งหมดได้อย่างไร ———————————————— จนกว่าเราจะมีความสุขุมในหัวใจเราเสียก่อน เราจึงจะเริ่มมองเห็นความจริงในมุมอื่นๆ และหากยังไม่รู้จริงจนแตกฉานหรือยังไม่เข้าใจในรายละเอียด จงเตือนตัวเองไว้เสมอ “เงียบและสุขุม” จงห้ามตัวเองไว้ให้ทันก่อนที่จะพิมพ์หรือพูดเรื่องที่ตนไม่รู้จริง และจงแยกแยะให้ออกระหว่างการแสดงความคิดเห็นกับการระบายความรู้สึกส่วนตัว #จากสมุดบันทึกส่วนตัว #ห้องทำงาน

โพสต์ที่แชร์โดย GOT JIRAYU (@godfather1632) เมื่อ ก.ค. 16, 2019 เวลา 10:13pm PDT

หากเราใช้ความสามารถของตัวเองในการจับผิดชีวิตผู้อื่นได้
เราก็นำความสามารถนั้นมาใช้กับตัวเราเองได้เช่นกัน
แน่นอนว่าเราจะพัฒนาได้ทุกๆวันหากเป็นแบบนั้น
แต่หากเป็นตรงกันข้าม
คือเห็นความผิดผู้อื่นแม้เรื่องเล็กๆ
แต่ของตัวเองแม้เรื่องใหญ่ๆยังมองไม่เห็น
ชีวิตเราจะด้อยพัฒนา
ซึ่งแน่นอนมันจะสะท้อนความด้อยพัฒนานั้นออกมาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
บางคนสะท้อนออกมาในรูปแบบของการเป็นนักวิจารณ์
บางคนสะท้อนออกมาในรูปแบบของการเป็นคนขี้บ่น
แต่ไม่ว่าจะสะท้อนออกมาอย่างไร
มันก็เป็นหลักฐานชิ้นดีที่แสดงว่าจิตใจของเรามีความสามารถในการเพ่งโทษผู้อื่น(จิตใจที่ป่วยไข้)
แต่ไม่สามารถเห็นสภาวะของตัวเองขณะเพ่งโทษเขาเหล่านั้น
แท้จริงแล้วสิ่งที่เราว่าเขาไม่ว่าจะเรื่องอะไร
เราก็มีอุปนิสัยนั้นอยู่ในตัว…แค่ต่างเรื่องต่างมุมต่างวาระ
มันเหมือนกับคนตาบอดที่ด่าคนตาบอดอีกคนว่า”ทำไมเดินไม่รู้จักมองทาง”
#บันทึกส่วนตัวเล่มล่าสุด

ดูโพสต์นี้บน Instagram

หากเราใช้ความสามารถของตัวเองในการจับผิดชีวิตผู้อื่นได้ เราก็นำความสามารถนั้นมาใช้กับตัวเราเองได้เช่นกัน แน่นอนว่าเราจะพัฒนาได้ทุกๆวันหากเป็นแบบนั้น แต่หากเป็นตรงกันข้าม คือเห็นความผิดผู้อื่นแม้เรื่องเล็กๆ แต่ของตัวเองแม้เรื่องใหญ่ๆยังมองไม่เห็น ชีวิตเราจะด้อยพัฒนา ซึ่งแน่นอนมันจะสะท้อนความด้อยพัฒนานั้นออกมาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง บางคนสะท้อนออกมาในรูปแบบของการเป็นนักวิจารณ์ บางคนสะท้อนออกมาในรูปแบบของการเป็นคนขี้บ่น แต่ไม่ว่าจะสะท้อนออกมาอย่างไร มันก็เป็นหลักฐานชิ้นดีที่แสดงว่าจิตใจของเรามีความสามารถในการเพ่งโทษผู้อื่น(จิตใจที่ป่วยไข้) แต่ไม่สามารถเห็นสภาวะของตัวเองขณะเพ่งโทษเขาเหล่านั้น แท้จริงแล้วสิ่งที่เราว่าเขาไม่ว่าจะเรื่องอะไร เราก็มีอุปนิสัยนั้นอยู่ในตัว…แค่ต่างเรื่องต่างมุมต่างวาระ มันเหมือนกับคนตาบอดที่ด่าคนตาบอดอีกคนว่า”ทำไมเดินไม่รู้จักมองทาง” #บันทึกส่วนตัวเล่มล่าสุด

โพสต์ที่แชร์โดย GOT JIRAYU (@godfather1632) เมื่อ ก.ค. 9, 2019 เวลา 8:01pm PDT

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0