โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ชงลดการเดินทาง เสาร์-อาทิตย์ยังสัญจรพลุกพล่าน-N95ใช้ได้2สัปดาห์

ไทยโพสต์

อัพเดต 30 มี.ค. 2563 เวลา 17.01 น. • เผยแพร่ 30 มี.ค. 2563 เวลา 17.01 น. • ไทยโพสต์

  ผู้ติดเชื้อรายใหม่ยังพุ่งต่อเพิ่ม 136 ราย ทำยอดสะสมอยู่ที่ 1,524 ราย เสียชีวิตเพิ่มอีก 2 ราย ทำยอดตายสะสมใกล้เลขสองหลัก “หมออนุพงศ์” วิตกโควิด-19 หวนกลับเข้ากรุงหลังตัวเลข 2 วันยอดใน กทม.พุ่ง ชี้การเดินทางสุ่มเสี่ยงมากช่วงนี้  “ประยุทธ์” ย้ำเน้นเรื่องเว้นระยะห่าง ผบ.ทสส.ชงลดการเดินทาง 90% หลังพบเสาร์-อาทิตย์การจราจรยังพลุกพล่าน “หมอปิยะสกล” เร่งรัฐบาลหาหน้ากาก N95 ให้บุคลากรทางการแพทย์ด่วน หลังพบสำรองใช้ได้แค่ 2 สัปดาห์

    เมื่อวันจันทร์ที่ 30 มีนาคม นพ.อนุพงศ์ สุจริยากุล ผู้ทรงคุณวุฒิกรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แถลงถึงสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 ในประเทศไทยว่า มีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้น 136 ราย แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.ผู้ป่วยสัมผัสผู้ป่วยก่อนหน้าหรือสถานที่ที่พบผู้ป่วยก่อนหน้า 71 ราย แบ่งเป็นกลุ่มสนามมวย 2 ราย, กลุ่มสถานบันเทิง 10 ราย ทั้งในกรุงเทพฯ, สมุทรปราการ และเชียงใหม่ และกลุ่มสัมผัสผู้ป่วยรายเก่า 59 ราย ซึ่งถือว่ามากที่สุด 2.ผู้ป่วยรายใหม่ 52 ราย แบ่งเป็นการเดินทางมาจากต่างประเทศ 21 ราย เป็นคนไทย 17 รายที่กลับจากสหรัฐอเมริกา, กาตาร์, ออสเตรเลีย, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, ปากีสถาน และสเปน คนต่างชาติ 4 ราย จากรัสเซีย, ฝรั่งเศส, แอลเบเนีย และอินเดีย กลุ่มทำงานใกล้ชิดต่างชาติ 15 ราย คือ ช่างเสริมสวย ขับรถโดยสาร พนักงานขาย พนักงานสปา กลุ่มบุคลากรแพทย์ 2 ราย กลุ่มที่ไปสถานที่แออัด 3 ราย กลุ่มขนส่งสาธารณะ 4 ราย และกลุ่มอื่นๆ 14 ราย และ 3.ผู้ป่วยยืนยันแล็บแล้ว อยู่ระหว่างรอสอบประวัติ 6 ราย          นพ.อนุพงศ์กล่าวว่า ส่วนผู้เสียชีวิตมีเพิ่ม 2 ราย เป็นชายไทยอายุ 54 ปี เดินทางมาจากมาเลเซีย อยู่ที่ จ.ยะลา อีกรายเป็นหญิงไทยอายุ 56 ปี รักษาใน รพ.เอกชนแห่งหนึ่งใน กทม. พบปอดอักเสบรุนแรงเสียชีวิต ส่วนคนกลับบ้านเพิ่มมี 16 ราย ส่งผลให้ยอดสะสมโดยรวมมีผู้ป่วย 1,524 ราย กลับบ้านรวม 127 ราย เสียชีวิตรวม 9 ราย รักษาใน รพ. 1,388 ราย จำนวนนี้มีอาการรุนแรง 23 ราย อยู่ในภาวะวิกฤติต้องเฝ้าระวังใกล้ชิด ภาพรวมผู้ป่วยเป็นคนสัญชาติไทย 1,297 สัญชาติอื่น 227 ราย ส่วนใหญ่อยู่ใน กทม. 715 ราย ปริมณฑล 144 กลุ่ม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 82 ราย และจังหวัดอื่นๆ รวม 583 ราย ผู้ป่วยยังเป็นวัยฉกรรจ์ อายุเฉลี่ย 40 ปี แนวโน้มการเพิ่มขึ้นเป็นเส้นตรง โดยการเพิ่มผู้ป่วยรายใหม่อยู่ประมาณกว่า 100 ราย      “ผู้ป่วยรายใหม่ 136 รายที่เพิ่มขึ้นวันนี้มาจาก 18 จังหวัด ส่วนใหญ่อยู่ กทม. 80 ราย เชียงใหม่ สมุทรปราการ ภูเก็ต ฯลฯ นอกจากนี้ ข้อสังเกตของเคสเสียชีวิต ถ้าเป็นเพราะว่าเสียชีวิตจากการเข้าสู่สถานพยาบาล คือมาตรวจช้าไป ก็เป็นเรื่องน่าเสียดายมาก และที่น่าสังเกตคือ 2 วันที่ผ่านมานี้ ผู้ป่วยโควิดใน กทม.กลับมาเพิ่มขึ้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้จะสังเกตเห็นว่าเทรนด์ผู้ป่วยในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น สำหรับใน กทม.พบว่ากลุ่มสัมผัสผู้ป่วยก่อนหน้ามีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ส่วนกลุ่มสนามมวยพบน้อยลง กลุ่มสถานบันเทิงกลับมาพบอีกประปรายไม่จบ แสดงว่ามีผู้ป่วยที่เกิดจากการไปสัมผัสไปเที่ยว หรือมีกิจกรรมสังสรรค์ ขณะที่ต่างจังหวัดส่วนใหญ่เป็นสัมผัสผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้า กลุ่มสนามมวยในต่างจังหวัดเกิดช้ากว่าใน กทม. ส่วนการกระจายของผู้ป่วยรายภาค ภาคกลางถือว่ามากที่สุด ส่วนภาคใต้ส่วนใหญ่เป็นกรณีไปร่วมพิธีศาสนาที่มาเลเซียก็เริ่มทรงตัวและน้อยลงไปเรื่อยๆ" นพ.อนุพงศ์กล่าว          นพ.อนุพงศ์กล่าวว่า กรณีผู้ป่วยรายใหม่ ในกลุ่มขนส่งสาธารณะ พบคนขับ ผู้โดยสาร จึงขอเตือนประชาชนว่า การเดินทางไปไม่ว่าที่ชุมชนหรือสถานที่ปิด เช่น รถยนต์ รถโดยสาร รถไฟฟ้า ต้องสวมหน้ากากอนามัยเป็นประจำ ถ้าไม่มีอะไรขอให้อยู่บ้าน สนับสนุนอยู่บ้าน หยุดเชื้อเพื่อชาติ และเรื่องรักษาระยะห่าง ทุกคนต้องทำช่วยกันทำให้เป็นนิสัย ผู้ประกอบการขนส่งสาธารณะ ต้องทำความสะอาดยานพาหนะสม่ำเสมอ เปิดหน้าต่างระบายอากาศ เช็ดพื้นผิวด้วย 70% แอลกอฮอล์ โดยเฉพาะที่จับประตู ที่พักแขนเพื่อ ลดเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อ         เมื่อถามถึงกรณีผู้เสียชีวิตรายใหม่ยังอายุไม่มาก เป็นเพราะมีโรคประจำตัวหรือไม่ นพ.อนุพงศ์กล่าวว่า เท่าที่ทราบไม่ได้มีโรคประจำตัว แต่กำลังดูในรายละเอียดอยู่ว่าทำไมผู้ป่วยไม่มีโรคประจำตัว 2 รายถึงมีอาการรุนแรงและเสียชีวิต ต้องดูว่ามา รพ.ช้าไปหรือไม่ ต้องเรียนว่าบางรายที่เราวินิจฉัยและบอกว่ามีอาการรุนแรงก่อนหน้านี้ จะได้ข้อมูลว่าบางท่านไม่ยอมบอกว่าตัวเองไปสนามมวย หรือไปสถานบันเทิงมา จริงๆ แล้วการป่วยโควิดไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ ก็เชิญชวนอยู่เสมอว่า คนไปสนามมวย ถ้าไม่สบายให้รีบออกมา ให้แพทย์ตรวจว่าป่วยหรือไม่ป่วย และจะเป็นการป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อคนอื่น และได้รับการตรวจที่เหมาะสม         ถามถึงผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง นพ.อนุพงศ์กล่าวว่า จากข้อมูลพบว่าเกินครึ่งมีอายุ 60 ปีขึ้นไปและมีโรคร่วม เป็นประเด็นที่เราเป็นห่วง เพราะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่ออาการรุนแรงและเสียชีวิต ส่วนที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงและมีอาการรุนแรงก็เกิดขึ้นได้ เพราะโรคนี้เมื่อป่วยขึ้นมาทุกคนไม่มีภูมิคุ้มกัน แปลว่าร่างกายต้องให้เม็ดเลือดขาว และระบบภูมิคุ้มกันจัดการ ถ้าหากร่างกายจัดการได้ไม่ดี เราจะป่วยมากขึ้น รุนแรงมากขึ้น การขจัดเชื้อจากร่างกายจะทำไม่ค่อยได้ เมื่อไรมีอาการกระทบต่ออวัยวะสำคัญ ก็ทำให้อาการรุนแรงและเสียชีวิต ดังนั้นการวินิจฉัยเร็ว ให้การรักษาที่ถูกต้อง จะเป็นสิ่งที่ลดความรุนแรงลงได้ ย้ำโรคประจำตัวกลุ่มเสี่ยง      นพ.ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ ผู้ตรวจราชการ สธ. เขตสุขภาพที่ 1 ภาคเหนือตอนบน กล่าวว่า มีอีก 2 ปัจจัยทำให้คนไข้ไม่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงมีอาการรุนแรงถึงเสียชีวิต คือ 1.จำนวนเชื้อที่เข้าไปมีจำนวนมาก ทำให้โอกาสแพร่กระจายลงไปในปอดก็เร็วขึ้น และ 2.ความไวต่อเชื้อที่ก่อให้เกิดโรคของแต่ละแตกต่างกัน อย่างบางคนเชื้อไม่มาก แต่โรคลุกลามในปอด แต่กลุ่มเสี่ยงอาการรุนแรงยังคงเป็นกลุ่มเสี่ยงคือมีโรคประจำตัว มีโรคทางปอด และผู้สูงอายุ          สำหรับความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เดินทางถึงทำเนียบรัฐบาลในเวลา 09.00 น. โดยเวลา 09.30 น. พล.อ.ประยุทธ์เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ซึ่งได้ย้ายมาประชุมที่ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า จากเดิมที่ใช้ตึกสันติไมตรีหลังนอก โดยเจ้าหน้าที่แจ้งว่า เนื่องจากครบกำหนดต้องทำความสะอาดฆ่าเชื้อ ซึ่งการประชุมสำนักโฆษกฯ ได้แจ้งสื่อมวลชนที่มาปฏิบัติหน้าที่ว่าไม่อนุญาตเข้าบันทึกภาพก่อนการประชุมเหมือนทุกครั้ง โดยจะใช้ช่างภาพของทางสำนักโฆษกฯ บันทึกเท่านั้น รวมไปถึงการประชุมคณะอื่นๆ ภายในทำเนียบฯ ด้วย ยกเว้นการแถลงผลการประชุม ศบค.ที่อนุญาตให้สื่อเข้าฟัง และนั่งตามเก้าอี้ที่ได้จัดเตรียมไว้ แต่ไม่อนุญาตให้ช่างภาพเข้าบันทึกภาพ เนื่องจากการแถลงมีการถ่ายทอดผ่านทางสถานีโทรทัศน์ NBT ช่อง 11     นอกจากนี้ สำนักโฆษกฯ ยังได้ขอความร่วมมือให้งดดักรอสัมภาษณ์นายกฯ รองนายกฯ รัฐมนตรี และผู้เข้าร่วมประชุมในทุกคณะ ที่มีการประชุมภายในตึกต่างๆ ที่ทำเนียบฯ เพื่อเป็นการป้องกันโควิด-19 และเป็นการยกระดับมาตรการควบคุมให้เข้มข้นขึ้น ขณะเดียวกัน เป็นที่น่าสังเกตว่าข้าราชการภายในทำเนียบฯ ได้เริ่มลดจำนวนการมาทำงาน โดยมีเหลื่อมเวลา และบางส่วนทำงานที่บ้านแล้ว     ทั้งนี้ ก่อนประชุม ศ.ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อมอบนวัตกรรมบริการตรวจคัดกรองเชื้อโควิด-19 เบื้องต้นแบบรวดเร็ว “Chula COVID-19 Strip Test Service” จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำนวน 100,000 ชุด เพื่อทำการคัดกรองให้ประชาชนที่มีความเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 นอกจากนี้ นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เนเชอรัล เบฟ จำกัด ได้เข้าพบนายกฯ เพื่อมอบนวัตกรรม P80 Natural Essence สมุนไพรสกัดจากลำไย 100% ที่มีวิตามินซีสูง ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันป้องกันไวรัส มูลค่ารวม 20 ล้านบาท เพื่อส่งต่อไปยังโรงพยาบาลและสถาบันบำราศนราดูร ให้บุคลากรทางการแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้ป่วยจากการติดเชื้อโควิด-19 และประชาชนทั่วไป เพื่อให้ทุกคนมีกำลังใจและสุขภาพที่ดี     นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ กล่าวถึงการประชุม ศบค.ว่าได้มีการทบทวนมาตรการต่างๆ ตั้งแต่ที่มีการประกาศพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นต้นมา ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจเมื่อเทียบกับตัวเลขผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วย และผู้เสียชีวิต แต่ยังไม่พอใจเต็มที่ จึงอยากให้ประชาสัมพันธ์ให้มากขึ้น ไม่เช่นนั้นวันหนึ่งอาจต้องบังคับใช้มาตรการที่รุนแรงได้ จึงขอให้เข้มงวดกับมาตรการอยู่บ้าน เพราะเสาร์-อาทิตย์ยังมีปริมาณรถสัญจรมาก กิจกรรมสังสรรค์ควรงดได้ แต่ยังมีการทำกันอยู่ บางอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เช่น การถ่ายทอดสดมวยของสถานีโทรทัศน์บางช่อง แม้ชกแบบไม่มีคนดู แต่ยังมีความเสี่ยงอยู่ดี อีกทั้งเมื่อมีการถ่ายทอดจะทำให้คนที่อยู่ทางบ้านไปร่วมกันเชียร์และดื่มสังสรรค์จึงขอให้งด หรือแม้แต่กิจกรรมเว้นระยะห่าง พบว่ายังมีกิจกรรมที่เล็ดลอด อย่างการแข่งเรือเจ็ตสกีในแม่น้ำ อีกที่จุดล่อแหลมมากคือวินมอเตอร์ไซค์ โดยเฉพาะหากไม่สวมหน้ากากอนามัย มีการสนทนากับผู้โดยสาร เป็นความเสี่ยงทั้งสิ้น นอกจากนี้ เรื่องการใส่บาตรที่มีการใช้มือจกข้าวเหนียวใส่บาตร สามารถแพร่เชื้อโรคได้ จึงต้องเพิ่มการระมัดระวัง     “กรณีการเข้า-ออกประเทศที่ยาก ทำให้คนไทยบางส่วนกลับประเทศไม่ได้นั้น สำหรับคนไทยยังกลับเข้าประเทศได้ แต่ขอให้ดิ้นรนขวนขวายเดินทางมาให้ได้ ซึ่งได้มอบหมายให้ มท.และกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ดูแลมาตรการเป็นพิเศษ ยกเว้นได้ตามความจำเป็น หรือที่นายกฯ อนุมัติให้ปลัด กต.ภายในหลักเกณฑ์ที่มีจำนวนมาก ส่วนข่าวปลอมที่ว่า กต.จัดเครื่องบินไปรับคนไทยที่อิตาลีนั้น ไม่เป็นความจริง แต่มี 8 ประเทศที่ประสานเข้ามาเพื่อจะส่งเครื่องบินมารับคนของเขากลับ อยู่ระหว่างประสานงานกัน”     นายวิษณุยังกล่าวถึงแผนการจัดสรรหน้ากากอนามัยและเครื่องมือทางการแพทย์ ว่าจะล้างตัวเลขเก่าทั้งหมด เพื่อประโยชน์ต่อการสร้างความเข้าใจกับประชาชน ประเมินทำแผนแจกจ่ายใหม่ โดยขณะนี้ 11 โรงงานสามารถผลิตได้ 2.3 ล้านชิ้นต่อวัน โดยในเวลา 17.00 น. วันที่ 30 มี.ค. บริษัท ไปรษณีย์ไทยฯ จะเป็นผู้รับหน้ากากไปกระจายยัง 76 จังหวัด โดยจัดสรรให้ สธ. 1.3 ล้านชิ้น เพื่อนำไปแจกจ่ายบุคลากรทางการแพทย์ และให้ มท.1 ล้านชิ้นเพื่อไปให้ให้ อสม. และเจ้าหน้าที่ที่บริการประชาชนและมีความเสี่ยง การแจกจ่ายแบบนี้จะใช้ไประยะหนึ่ง เมื่อเจ้าหน้าที่เพียงพอแล้วจะจัดสรรไปให้ประชาชนเพิ่มเติม ทั้งนี้ จะไม่มีการส่งออกหน้ากากไปยังต่างประเทศ ยกเว้น 3 กรณีที่มีพันธะทางกฎหมาย ได้แก่ ได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุน ทรัพย์สินทางปัญญา และสัญญาเขตการค้าเสรี ส่วนการนำเข้าหน้ากากอนามัยนั้น กระทรวงการคลังได้มีมาตรการได้มีมาตรการลดภาษีนำเข้าเป็น 0% ส่วนอุปกรณ์ทางการแพทย์กำลังอยู่ระหว่างจัดทำรายการ ผบ.ทสส.ชงชัตดาวน์เดินทาง     ด้าน นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงผลการประชุม ศบค. ว่า พล.อ.ประยุทธ์ระบุว่าหัวใจการทำงานที่สำคัญที่สุดคือ การส่งผ่านข้อมูลหรือการสื่อสารไปยังประชาชน ขณะนี้ต้องใช้เทคโนโลยี โชเซียลมีเดีย แอปพลิเคชัน ทำให้ข้อมูลถึงประชาชน นอกจากนี้ ยังเน้นเรื่องการเว้นระยะห่างทางสังคม ต้องยึดถือปฏิบัติกันทุกวันจนกว่าจะพ้นวิกฤติ และการทำแนวทางการป้องกันไม่ให้มีเชื้อมาติดทุกคนได้ ทั้งระดับประเทศ จังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ครอบครัว และบุคคล ส่วนการควบคุม นายกฯ ยังให้ใช้ระดับของการกักตัวที่บ้าน ส่วนการทำงานของ ศบค.จะเสริมเติมสิ่งต่างๆ เพื่อการออกมาตรการใดๆ มีผลกระทบด้านดีมากที่สุด     นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า ปลัด สธ.ได้รายงานตัวเลขผู้ป่วยรายใหม่จำนวน 136 ราย ยอดผู้ป่วยสะสม 1,524 ราย ซึ่งนายกฯ ระบุว่าอย่าชะล่าใจ แม้เป็นข่าวดีที่เราไม่ให้มีตัวเลขรายใหม่เพิ่มขึ้นมากมายนัก แต่อยากให้ประชาชนร่วมมือให้เข้มแข็งที่สุด เพื่อไม่ให้ตัวเลขสะสมเพิ่มไปกว่านี้ โดยในส่วนพื้นที่ กทม.และนนทบุรียังมีตัวเลขสูงอยู่ ส่วนแนวโน้มต่างจังหวัดยังขึ้นๆ ลงๆ ขณะที่ปลัด มท.ได้รายงานถึงมาตรการเข้มข้นใน 4 จังหวัด ได้แก่ ภูเก็ต ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส นอกจากนี้ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) ได้นำเสนอต่อที่ประชุมว่า ตั้งแต่ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พบว่าการสัญจรไปมาของประชาชนทุกรูปแบบลดลงกว่า 40% แต่อยากขอความร่วมมือให้ลดการสัญจรให้ได้ 90% การจะลดการแพร่ระบาดได้ต้องร่วมมือกัน     ขณะเดียวกัน มีรายงานข่าวแจ้งว่า พบบุคลากรที่ทำงานในศูนย์ ศบค. 1 ราย โดยได้รับการยืนยันแล้วจากสถาบันบำราศนราดูร แต่ยังไม่ชัดเจนว่าติดมาจากที่ใด      นพ.ทวีศิลป์กล่าวในเรื่องนี้ว่า มาใกล้ตัว แต่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ทำเนียบฯ เป็นข้าราชการจาก สธ. ซึ่งไม่ได้เป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาเลย มาทำงาน เชื่อมประสาน มีประวัติว่าเป็นผู้ป่วยชาย 46 ปี มีประวัติที่ร่วมประชุมอยู่หลายแห่ง โดยทีมสอบสวนโรคติดต่ออันตรายดูแล้ว เริ่มมีอาการ 26 มี.ค. โดยอาการมีน้ำมูก ไอนานๆครั้ง แต่พอป่วย 3 วัน ด้วยความเป็นคนของ สธ.จึงไปตรวจ ผลออกมายืนยันเมื่อคืนวันที่ 29 มี.ค. จึงกักตัวเองตั้งแต่แรก และรักษาตัวที่สถาบันบำราศนราดูร ซึ่งทีมสืบสวนโรคของ สธ.เข้าไปดูแล พบว่าความเสี่ยงยังต่ำ เพราะไม่ได้ประจำที่ทำเนียบฯ การสัมผัสใกล้ชิดก็คงเป็นคนของ สธ. ตอนนี้ประมาณการคนที่เกี่ยวข้อง 30 คนต้องกักตัว  N95 เหลือใช้แค่ 2 สัปดาห์     มีรายงานข่าวแจ้งอีกว่า นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร อดีต รมว.สธ. คณะทำงานฯ ได้ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ โดยจะรายงานให้ พล.อ.ประยุทธ์รับทราบว่าเรื่องอุปกรณ์ทางการแพทย์และสาธารณสุขขาดแคลนและน่าเป็นห่วงมาก โดยเฉพาะหน้ากากอนามัย N95 ที่ต้องพึ่งพิงประเทศญี่ปุ่น เพราะผลิตได้ประเทศเดียว และไทยได้รับเดือนละ 2 แสนชิ้นเท่านั้น แม้องค์การเภสัชฯ ได้พยายามกว้านซื้อจากทั่วโลก แต่เพื่อให้เกิดความสะดวกและจัดหาได้ง่ายขึ้น รัฐบาลจำเป็นจะต้องไม่เก็บภาษีและผ่อนปรนการจัดซื้อจัดจ้าง รวมทั้งยังฝากฝ่ายบริหารให้รัฐบาล แจ้งไปที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ช่วยจัดหาหน้ากากอนามัย N95 เนื่องจากนายสมคิดสามารถจัดหาได้และปรับเปลี่ยนหน้ากากดังกล่าวใส่มาทำงานได้ทุกวัน โดยมีการประเมินในคลังเวชภัณฑ์สามารถใช้ได้อีก 2 สัปดาห์เท่านั้น      นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัด สธ. กล่าวว่า ยอดรวมการแจกจ่ายหน้ากากอนามัยให้กับบุคลากรทางการแพทย์และสถานพยาบาลระหว่างวันที่ 7-28 มี.ค. กระจายได้ 19.59 ล้านชิ้น แต่ปัจจุบันการผลิตมีเพิ่มมากขึ้น ทำให้แผนการกระจายไปให้บุคลากรทางการแพทย์จะอยู่ที่ 1.3 ล้านชิ้นต่อวัน ส่วนหน้ากาก N 95 ที่จำเป็นต้องใช้สำหรับผู้ป่วยหนัก ต้องใช้วันละ 15 ชิ้น ผู้ป่วยสังเกตการณ์ต้องใช้วันละ 5 ชิ้น หากมีผู้ป่วย 10,000 คน จะต้องใช้ 17,000 ชิ้นต่อวัน ขณะนี้เราประสานไปยังบริษัท 3M ที่เป็นผู้ผลิตหน้ากาก N95 จากสหรัฐอเมริกา เพื่อนำเข้ามาใช้ในไทย โดยที่เราสั่งไปก่อนหน้านี้ของจะทยอยเข้ามา เพราะตอนนี้สหรัฐและยุโรปก็มีปัญหา และจำเป็นต้องใช้ในประเทศของเขา ส่วนอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่รับได้บริจาคนั้น จะมีการกระจายไปยังโรงพยาบาลต่างๆ ขณะที่หน้ากากบางส่วนที่ได้รับบริจาคมาเป็นหน้ากากกันฝุ่น เราจะส่งไปให้ภาคเหนือที่กำลังประสบปัญหาหมอกควันอยู่ ส่วนเตียงผู้ป่วยยังสามารถรองรับผู้ป่วยได้ 700 เตียง     ส่วนนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สธ. กล่าวว่า มีผู้ปรารถนาต้องการสนับสนุนช่วยเหลืองานของ สธ.ด้วยการบริจาคสิ่งของ ทั้งยาและเวชภัณฑ์มาให้ใช้ในการควบคุมป้องกันโรคโควิด-19 จำนวนมาก จึงได้ตั้งคณะกรรมการบริหารเวชภัณฑ์ ทำหน้าที่ในตรวจสอบคุณภาพเวชภัณฑ์ที่ได้รับและกระจายสิ่งของให้กับโรงพยาบาล ทั้งนี้ หากของสิ่งใดไม่ได้คุณภาพ หรือไม่ปลอดภัย ก็จะไม่แจกจ่ายให้กับบุคลากรหรือประชาชน และจะแจ้งให้ผู้มาบริจาคทราบ เพราะเข้าใจว่าผู้บริจาคมีเจตนาอันดี อยากให้นำสิ่งของเหล่าให้ใช้ประโยชน์สูงสุด      วันเดียวกัน พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม ได้ประชุมร่วมกับเหล่าทัพเพื่อรับทราบสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และการปฏิบัติของทุกเหล่าทัพในการสนับสนุนรัฐบาลในการรับมือกับปัญหา ซึ่งจากการประเมินสถานการณ์ภาพรวม ยังพบว่ามีจำนวนผู้ป่วยภายในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงขอให้ทุกเหล่าทัพเร่งเตรียมความพร้อมของ รพ.ทหาร และ รพ.สนามในพื้นที่ต่างๆ ให้พร้อมสนับสนุนรองรับจำนวนผู้ป่วยที่มีแนวโน้มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งขอให้เตรียมการสนับสนุนการคัดกรองในด่านต่างๆ อย่างเข้มงวด      พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(ผบช.น.) กล่าวว่า ได้รับรายงานว่าตำรวจในสังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาลติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จำนวน 27 นาย และมีตำรวจที่เกี่ยวข้องได้ถูกสั่งให้กักตัวเองเพื่อสังเกตอาการแล้ว 326 นาย ซึ่งผลจากการสอบสวนโรคทราบว่าส่วนใหญ่ติดเชื้อมาจากการกลับจากดูงานที่ประเทศสเปน เกี่ยวข้องกับสนามมวย และรับประทานอาหารร่วมกัน.  

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0