เมื่อเวลา 03.30 น. วันที่ 16 ก.ค. พ.ต.ท.สมพร พรธานิสกุล สว.(สอบสวน) สน.เพชรเกษม รับแจ้งเหตุยิงกันมีผู้เสียชีวิต บริเวณหน้าบริษัทเค เอ อาร์ เคมีคอล กรุ๊ป เลขที่ 820 ถนนสุขภิบาล 1 ซอยบางแค-คลองหนองใหญ่ แขวงและเขตบางแค กทม. จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมด้วยแพทย์ รพ.ศิริราช เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน และเจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ้ง ที่เกิดเหตุบริเวณด้านหน้าบริษัท พบศพผู้เสียชีวิต 3 ราย คือ นายชยุต หรือ ต๊ะ บุญวงค์ธนชัย อายุ 45 ปี สภาพถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาด 9 มม. เข้าที่ขมับขวา 1 นัด นอนคว่ำหน้ากอดทับอาวุธปืนซีแซด ขนาด 9 มม. และทับร่างนายสรศักดิ์ หรือ อ้น สุคันธพงศ์ อายุ 41 ปี ซึ่งถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาดเดียวกันที่ขมับซ้าย 1 นัด ใกล้กันพบนางสาวสมพร หรือ กิ้ว เชิดขวัญใจ อายุ 31 ปี มีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืน ขนาด 9 มม. เข้าที่ขมับซ้าย 1 นัด นอนเสียชีวิตพิงประตูรั้วเหล็กของบ้านหลังดังกล่าว ห่างออกไปที่ฟุตปาธพบกระเป๋าและรองเท้าของผู้หญิงถอดวางอยู่ บริเวณโดยรอบพบปลอกกระสุนปืนขนาด 9 มม. ตกอยู่ 4 ปลอก ห่างจากที่เกิดเหตุไปประมาณ 50 เมตร พบรถยนต์โตโยต้า สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน สศ 4123 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นของนายชยุต จอดอยู่ด้านในที่นั่งคนขับพบเบียร์ที่ถูกเปิดกินไปแล้วเหลืออยู่ครึ่งขวด ทางตำรวจจึงรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน ก่อนนำศพส่งชันสูตรที่รพ.ศิริราช
จากการสอบสวนเพื่อนของนายสรศักดิ์ ให้การว่า เมื่อช่วงเวลาประมาณ 03.00 น. เพื่อนของนางสาวสมพร ได้นั่งวินจยย. ไปหานายสรศักดิ์ที่ร้านลาบซึ่งอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 1 กม. บอกว่านางสาวสมพรกำลังทะเลาะวิวาทกับนายชยุตอยู่ให้พวกตนรีบไปดู ตนและนายสรศักดิ์พร้อมด้วยเพื่อนอีกหนึ่งคนได้เดินทางมายังที่เกิดเหตุ เมื่อมาถึงก็เห็นว่านายชยุตกำลังตบตีนางสาวสมพร เมื่อพวกตนจะเข้าไปช่วยนายชยุตก็บอกว่าอย่าเข้ามายุ่ง ก่อนจะชักอาวุธออกมาขู่พวกตนจึงรีบวิ่งหนี จากนั้นนายชยุตได้ล็อคคอนางสาวสมพรและใช้อาวุธปืนยิงจนเสียชีวิต และยิงนายสรศักดิ์ที่พยายามเข้าไปช่วยเหลือภรรยาเสียชีวิตไปอีกคน ก่อนที่นายชยุตจะยิงตัวตายตามหนีความผิด
นอกจากนี้มีรายงานข่าวแจ้งว่า นางสาวสมพร ได้เดินทางเข้าไปที่ร้านอาหารที่ทำงานอยู่เมื่อเวลาประมาณ 01.30 น. ซึ่งอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 1 กม. ก่อนจะมีปากเสียงกับนายชยุตลูกค้าที่มาชอบพอ จึงได้พากันออกมาตกลงกันนอกร้าน กระทั่งเกิดเหตุสลดดังกล่าว เบื้องต้นทางตำรวจสันนิษฐานสาเหตุเกิดจากความหึงหวง อย่างไรก็ตาม ต้องทำการสอบสวนพยานแวดล้อม ตลอดจนทำการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด และรอผลตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์อีกครั้ง ก่อนสรุปสาเหตุที่แท้จริงต่อไป
