รอยเตอร์ รายงานอ้างนายเชน โอลิเวอร์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากบริษัทจัดการลงทุน เอเอ็มพีของออสเตรเลียว่า หลายฝ่ายหวั่นเกรงว่า โรคโควิด-19 ที่เริ่มระบาดในเมืองอู่ฮั่น ทางภาคกลางของประเทศจีนเมื่อปลายปีก่อนอาจจะยกระดับความรุนแรงมาเป็นโรคระบาดทั่วโลก หลังพบผู้ป่วยรายใหม่ในอิหร่าน อิตาลีและเกาหลีใต้ ขณะเดียวกัน ในวันนี้ รัฐบาลจีน เริ่มผ่อนคลายมาตรการเฝ้าระวังรอดูอาการในหลายพื้นที่ ด้วยการเปิดให้ประชาชนใช้ระบบขนส่งคมนาคม เดินทางได้ตามปกติแล้ว เนื่องจาก ไม่พบผู้ป่วยใหม่ในพื้นที่ต่างๆกว่า 20 มณฑล หรือเขตปกครองเทียบเท่ามณฑล เช่นกรุงปักกิ่ง,นครเซี่ยงไฮ้,มณฑลยูนนาน,มณฑลกวางตุ้ง, มณฑลชานซี,มณฑลกุ้ยโจว,มณฑลกานซู่และมณฑลเหลียวหนิง ตัวเลขรายงานเมื่อเวลา16.30 น.จากสถาบันจอห์น ฮอปสกิ้น รายงานว่า ในจีนแผ่นดินใหญ่มีผู้ป่วยสะสม 77,150 คน เสียชีวิต 2,620 ราย รักษาหายแล้ว 25,044 คน สำหรับมณฑลหูเป่ย พื้นที่แพร่ระบาด มีผู้ป่วยใหม่ลดลงเหลือ 11 คน นับเป็นแนวโน้มที่ดีสำหรับประเทศจีนนับตั้งแต่เริ่มพบการแพร่ระบาดเมื่อปลายปีก่อน
สถานการณ์ในประเทศอื่นๆ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ รวมถึงนายโอลิเวอร์ ตั้งข้อสังเกตว่า การพบผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้นนอกประเทศจีน ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นในเอเชียและตลาดซื้อขายล่วงหน้าในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทของสหรัฐฯ ร่วงลงมาก เนื่องจาก นักลงทุนส่วนใหญ่ขายหุ้นแล้วหันไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยมากกว่าเช่น ทองคำ ขณะเดียวกันราคาน้ำมันและเงินวอนของเกาหลีใต้ ร่วงต่ำสุดเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม
ส่วนการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-จีน สมัยพิเศษ ที่กรุงเวียงจันทน์ ประเทศลาว มีรัฐมนตรีต่างประเทศจาก 10 ประเทศสมาชิกอาเซียนร่วมประชุม นายหวัง อี้ มนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีต่างประเทศจีน ร่วมหารือถึงแนวทางป้องกันเชื้อโควิด-19 มาตรการดูแลประชาชน และความร่วมมือด้านสาธารณสุขอาเซียน-จีน นายหวัง อี้ กล่าวในที่ประชุมว่า ความตื่นตระหนกน่ากลัวยิ่งกว่าเชื้อไวรัส และความเชื่อมั่นมีค่ายิ่งกว่าทองคำ ขอขอบคุณแรงสนับสนุนจากประเทศสมาชิกอาเซียน พร้อมย้ำถึงมาตรการสกัดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิงว่าจะสามารถต่อสู้และเอาชนะได้ในเร็วนี้ ในช่วงที่จีนกำลังเผชิญกับวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้จีน สัมผัสได้ว่า ฤดูหนาวปีนี้ไม่ได้หนาวเย็นขนาดนั้นและฤดูใบไม้ผลิกำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้า
นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ มองสถานการณ์โควิด-19 เป็นความท้าทายข้ามพรมแดน ทุกประเทศจำเป็นต้องร่วมมือกัน การประชุมครั้งนี้เป็นครั้งแรกตั้งแต่มีการแพร่ระบาด ซึ่งที่ประชุมได้หารือรับมือสถานการณ์ในวันข้างหน้าร่วมกันทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อดูแลประชาชน ป้องกันการแพร่ระบาด และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจในทุกด้าน ซึ่งจะส่งผลดีในระดับภูมิภาค
CR:Reuters
