หนังสือพิมพ์ The Wall Street Journal รายงานว่า ในปีหน้า จีนจะให้รถใหม่ทุกคันติดตั้งชิป RFID (Radio-Frequency Identification) บนกระจกหน้ารถ เพื่อช่วยให้รัฐบาลสามารถจัดเก็บข้อมูลในการศึกษาและจัดการปัญหาด้านการจราจร, มลพิษ และความมั่นคงสาธารณะได้ แต่เบื้องต้นจะให้เจ้าของรถติดตั้งชิปด้วยความสมัครใจก่อนตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. นี้เป็นต้นไป
โดยในการเก็บข้อมูลดังกล่าว จะมีการบันทึกข้อมูลทั้งแผ่นป้ายทะเบียนรถและสีตัวถังรถ ขณะที่ถนนสายต่างๆ จะติดตั้งตัวอ่าน RFID เอาไว้ เพื่อตรวจจับชิป RFID จากบนกระจกรถ ก่อนจะส่งข้อมูลไปยังกระทรวงความมั่นคงสาธารณะต่อไป
ทั้งนี้ ปัญหาการจราจรที่คับคั่งในประเทศจีนเรียกได้ว่าแทบจะกินขาดชาติอื่นๆ ด้วยปริมาณรถบนท้องถนนในกรุงปักกิ่งที่มากถึง 5 ล้านคัน นอกจากนี้ จีนก็ยังเป็นหนึ่งในประเทศที่ขับรถได้อันตรายที่สุดในโลกด้วย ซึ่งจากสถิติที่องค์การอนามัยโลก (World Health Organization) เคยบันทึกไว้ในปี 2013 พบว่ามีผู้เสียชีวิตบนท้องถนนมากกว่า 260,000 ราย
นอกจากนี้ โครงการติดตั้งชิป RFID ดังกล่าว ยังถือเป็นการสนับสนุนอุตสาหกรรมการผลิตชิปภายในประเทศที่ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ให้ความสนใจอยู่ด้วย เพราะแม้ว่าจีนจะเป็นโรงงานใหญ่ของโลก แต่ 90 เปอร์เซ็นต์ของชิปที่จีนใช้นั้นกลับเป็นการนำเข้า หรือไม่ก็ผลิตโดยบริษัทที่มีเจ้าของต่างชาติ ซึ่งรายงานระบุด้วยว่า จีนเตรียมทุ่มงบประมาณมากถึง 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3.2 แสนล้านบาท เพื่อการวิจัยและพัฒนา (R&D) ชิปขึ้นมาเอง
อย่างไรก็ตาม จีนไม่ได้เป็นชาติแรกที่นำชิปคอมพิวเตอร์มาใช้ในรถยนต์ โดยรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐอเมริกา เคยทดลองฝังชิปในแผ่นป้ายทะเบียนรถมาแล้ว เพื่อให้คนขับได้อัพเดทข้อมูลเกี่ยวกับการต่อทะเบียนรถยนต์ได้โดยอัตโนมัติ รวมถึงยังช่วยให้ตำรวจสามารถติดตามรถที่ถูกขโมยได้ด้วย
