โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

จาก'จ่าคลั่ง'สู่'หมู่อาร์ม' กับคำสัญญา'ปฏิรูปกองทัพ'

ไทยโพสต์

อัพเดต 03 มิ.ย. 2563 เวลา 17.01 น. • เผยแพร่ 03 มิ.ย. 2563 เวลา 17.01 น. • ไทยโพสต์

      ยังไม่ทันจะผ่านครึ่งปีแรกของปี 2563 แบบเต็มๆ 6 เดือนดี แต่ดูเหมือนว่าปีนี้น่าจะเป็นอีกปีที่หนักหนาของกองทัพ โดยเฉพาะ “กองทัพบก” ที่โดนล่อเป้าจนอ่วมอรทัยอย่างต่อเนื่องแทบจะทุกเดือนเลยก็ว่าได้ อย่างล่าสุดก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กรณีของ “หมู่อาร์ม” หรือ ส.อ.ณรงค์ชัย อินทรกวี ภายหลังที่เจ้าตัวออกมา “แฉ” ว่าถูกผู้บังคับบัญชาระดับสูงคุกคามและข่มขู่ เนื่องจากออกมาเปิดเผยการทุจริตเบี้ยเลี้ยงภายในกรมสรรพาวุธทหารบกจนต้องหนีราชการ

      ก่อนจะมีการเซ็นคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน “หมู่อาร์ม” ที่เป็นคนร้อง โดย พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ขณะที่ปมการทุจริตนั้นเตรียมจะชงเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ต่อไป

      ซึ่งสิ่งที่หลายคนสงสัยคือ ทำไมคนที่ออกมาแฉเรื่องการอมเบี้ยเลี้ยงในกองทัพถึงโดนเอาผิดด้วย ทั้งที่ตัวเองเป็นเพียงทหารชั้นผู้น้อย แทนที่จะมีกระบวนการคุ้มครองพยาน เพราะการตัดสินใจออกมาเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้ไม่ใช่เพียงแค่การเอา “สวัสดิภาพหน้าที่การงาน” มาเสี่ยง แต่นับว่าเป็นการ "เสี่ยงชีวิต" เลยทีเดียว

      เพราะฉะนั้นการเอาตัวรอดด้วยวิธีการหนีจากผู้บังคับบัญชาชั้นผู้ใหญ่ที่มีอำนาจในค่ายล้นมือนั้นไม่น่าจะใช่เรื่องที่ทำความเข้าใจยากมากนัก หากเทียบกับหลายๆ กรณีที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้า โดยเฉพาะข่าวทหารชั้นผู้น้อยถูกทำร้ายร่างกาย บางรายที่โชคไม่ดีก็เลยเถิดไปถึงขั้นเสียชีวิต ซึ่งมีมาเป็นระยะ และสังคมเองก็เคยผ่านตาเรื่องเหล่านี้มาไม่น้อย

      อย่างไรก็ตาม คำสัญญาเรื่องการ “ปฏิรูปกองทัพ” จากปากของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ภายหลังเหตุสะเทือนขวัญการกราดยิงที่ จ.นครราชสีมา ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ยังคงมีเครื่องหมายคำถามห้อยท้ายต่อไปจากหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้น

      ฉากผู้นำสูงสุดของกองทัพบก "น้ำตาซึม” พร้อมลั่นวาจาว่าจะมีการสังคายนาใหญ่ ยังคงอยู่ในความทรงจำของใครหลายคน จากนั้นดูเหมือนว่าจะมีการขยับในหลายๆ ประเด็น ทั้งการสะสางผลประโยชน์เชิงพาณิชย์ในกองทัพบก เงินนอกงบประมาณของกองทัพ ที่โดนหางเลขไปเต็มๆ คือทีม “อาร์มี่ ยูไนเต็ด” ที่ต้องพักทีมอย่างไม่มีกำหนด ปิดฉากตำนาน 103 ปี หรือการเปิดศูนย์คอลเซ็นเตอร์ให้กำลังพลร้องเรียนพร้อมยืนยัน

      “ข้อมูลทุกอย่างจะเป็นความลับ”

      ซึ่งกรณีของ ส.อ.ณรงค์ชัย นั้นก็มาจากการร้องเรียนกับศูนย์คอลเซ็นเตอร์ แต่กลับกัน แทนที่ข้อมูลจะถูกปกปิดเป็นความลับ เรื่องดันรั่วไปถึงหูผู้บังคัญชา สวนทางกับคำพูดของผู้นำสูงสุดของกองทัพเสียอย่างนั้น ขณะเดียวกัน พล.อ.อภิรัชต์เองก็ไม่ได้ออกมาชี้แจงเรื่องนี้แต่อย่างใด จนกลายเป็นอีกเรื่องที่สร้างความเคลือบแคลงสงสัยแก่สังคม (อีกแล้ว)

        “สาเหตุของจ่าจักรพันธ์ที่คลั่งก็เพราะผู้บังคับบัญชาเป็นเช่นนี้ ท่าน ผบ.ทบ. ท่านเคยถามความจริงจากผมหรือไม่ ก่อนที่ท่านจะพูดอะไรออกมา ท่านเพียงรับฟังมาจากรุ่นน้องท่าน หรือเพื่อนท่าน เท่านั้นเอง ผมมันแค่ผู้น้อยครับ ถ้าไม่มีประชาชนให้การสนับสนุน เสียงผมคงไม่ดัง ท่านมีอำนาจระดับพลเอก ท่านยังให้ร้ายผมได้ขนาดนี้ แทนที่ท่านจะช่วยเหลือผม แต่กลับมาทำลายผม นี่แหละการไม่รับฟังความเดือดร้อนของนายทหารชั้นผู้น้อย ความอึดอัดของทหารหลายๆ คน และนี่คือพลังประชาชนครับท่าน #ปฏิรูปกองทัพ #คุ้มครองพยาน #ภาษีประชาชนเพื่อประชาชนไม่ใช่คนของตน”

      การโพสต์ข้อความของ ส.อ.ณรงค์ชัย โพสต์นี้แสดงให้เห็นว่า “หมู่อาร์ม” จนตรอกจนต้องเปิดหน้าชนกับอำนาจสูงสุดของกองทัพ ซึ่งเป็นเรื่องที่คนปกติไม่ทำกันแน่ๆ เว้นเสียแต่ว่าถูกบีบคั้นจนไม่มีทางออก ซึ่งคงต้องมาจับตาดูกันว่าท้ายที่สุดแล้วเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร และเมื่อเรื่องจบแล้ว สวัสดิภาพในชีวิตและทรัพย์สินของ “หมู่อาร์ม” หลังจากนั้นจะเป็นอย่างไรต่อไป สังคมต้องร่วมกันจับตาอย่างใกล้ชิด

      ยังไม่รวมกับเรื่องการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จากสนามมวยลุมพินี ที่ทำเอาวุ่นกันยกใหญ่ แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการจัดแข่งขันชกมวยของสนามมวยลุมพินีนั้น สำนักงานคณะกรรมการกีฬามวย กกท.ได้ทำหนังสือแจ้งขอความร่วมมือมาตรการเร่งด่วนแก้ไขปัญหาการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ถึงนายสนามมวยเวทีลุมพินี เพื่อให้ดำเนินการมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 3 มี.ค.2563 ให้หลีกเลี่ยงหรือเลื่อนการจัดกิจกรรมเช่นการจัดการแข่งขันกีฬาตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 มี.ค.2563 แล้ว

      แต่ในวันที่ 6 มี.ค.2563 สนามมวยเวทีลุมพินียังคงมีการจัดการแข่งขันชกมวยรายการใหญ่ที่ ชื่อว่า 'ลุมพินิแชมเปี้ยนเกริกไกร เกียรติเพชร' ซึ่งมีการจัดคู่มวยดังขึ้นชกถึง 11 คู่ และมีการแจกรถ 3 คัน ทำให้มีบรรดาเซียนมวยและประชาชนที่สนใจเข้าไปร่วมชมมวยรายการนี้จำนวนมาก จนกลายเป็นอีกหนึ่งแหล่งเพาะเชื้อในที่สุด และผู้บริหารของสนามมวยเองก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล แต่ก็เป็นคนในกองทัพนั่นเอง และเรื่องนี้ก็กลายเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ทำให้กองทัพถูกเล่นงานจากหลายภาคส่วนในสังคม ซึ่งประเด็นเหล่านี้ยังไม่รวมเคสยิบย่อยต่างๆ ที่มีข่าวออกมาเป็นระยะๆ

      ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรที่ “กองทัพ” จะกลายเป็น “จุดอ่อน” สำคัญของรัฐ และถูกฝ่ายตรงข้ามหยิบยกมาเป็นประเด็นเล่นงานอย่างต่อเนื่อง แต่ที่ปีนี้มีความแตกต่างกันคือ ในเมื่อระดับผู้นำสูงสุดของกองทัพบกลั่นวาจาแล้วว่า “จะมีการปฏิรูปกองทัพ” และดูเหมือนมีการแอคทีฟในหลายๆ ด้าน แต่หลายเรื่องที่สังคมได้รับรู้รับทราบนั้นกลับเข้าอีหรอบ “ยิ่งทำ..ยิ่งเละกว่าเดิม” ซะอย่างนั้น.

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0