กรมการค้าภายใน ดำเนินคดี ผู้ขายหน้ากากอนามัยราคาแพงเกินจริง จับแล้ว 2 รายย่านลาดพร้าวและอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ โทษจำคุก 7 ปี ปรับ 1.4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เตือนพ่อค้าแม่ค้า อย่าฉวยเอาเปรียบประชาชน
เมื่อวันที่ 18 ม.ค.2562 นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ส่งเจ้าหน้าที่ออกตรวจสถานการณ์การจำหน่ายหน้ากากอนามัยตามที่ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนผ่านสายด่วนโทร. 1569 อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้ดำเนินดคีกับผู้จำหน่ายหน้ากากอนามัยราคาแพงเกินจริง จำนวน 2 ราย โดยร้านแรกเป็นร้านขายยา ย่านถนนลาดพร้าว ซอย 9 แขวงจอมพล เขตจตุจักร ได้รับร้องเรียนว่าจำหน่ายหน้ากากอนามัย N95 ราคา 90 บาท ที่สูงเกินจริง ฉวยโอกาสเอาเปรียบผู้บริโภค และร้านที่ 2 ร้านขายยาย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ได้รับร้องเรียนว่า จำหน่ายหน้ากากอนามัย N95 ราคา 191 บาท และไม่ปิดป้ายแสดงราคาจำหน่ายปลีก เจ้าหน้าที่จึงได้ตรวจสอบตามข้อร้องเรียนดังกล่าว
“จากการตรวจสอบพบการกระทำผิดจริงตามมาตรา 29 ตาม พ.ร.บ.ราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ที่ห้ามผู้ประกอบการธุรกิจดำเนินการใดๆ จงใจหรือทำให้ราคาสูงเกินสมควร หรือทำให้เกิดความปั่นป่วน ซึ่งราคาของสินค้า และมีโทษตามมาตรา 41 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยกรมฯ ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลพหลโยธิน และสถานีตำรวจนครบาลพญาไท เพื่อดำเนินการตามกฎหมายไปแล้ว”
ทั้งนี้ กรมฯ ขอฝากถึงผู้จำหน่ายหน้ากากอนามัย ไม่ควรฉวยโอกาสเอาเปรียบประชาชนที่มีความต้องการซื้อหน้ากากอนามัยไปใช้ในการป้องกันสุขภาพในช่วงนี้ เพราะหากตรวจสอบพบจะดำเนินคดีตามกฎหมายทุกราย และหากประชาชนพบเห็นการจำหน่ายที่ไม่เป็นธรรม แจ้งมาที่สายด่วน 1569 จะส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบทันที หากพบผิดจะดำเนินการตามกฎหมายขั้นเด็ดขาด
สำหรับผู้บริโภคที่ต้องการซื้อหน้ากากอนามัย และหาซื้อไม่ได้ ให้มาซื้อที่กระทรวงพาณิชย์ (สนามบินน้ำ) บริเวณหน้าไปรษณีย์ ฝั่งโรงอาหารสวัสดิการ 2 โดยจะจัดจำหน่ายทุกวันจันทร์-ศุกร์ วันละ 25,000-30,000 ชิ้น โดยจำหน่ายแบบ N95 ชิ้นละ 30 บาท จำกัดการซื้อไม่เกินคนละ 5 ชิ้น และแบบธรรมดา 5 บาท จำกัดการซื้อคนละ 10 ชิ้น ซึ่งกรมฯ ขอความร่วมมือประชาชน อย่าซื้อเกินความจำเป็น เพราะจะยิ่งทำให้เกิดการขาดแคลนได้
นอกจากนี้ กรมฯ ยังได้เร่งรัดให้ผู้ผลิตเร่งผลิตสินค้า และเร่งจัดส่งเข้าสู่ร้านค้าต่างๆ รวมทั้งขอให้ห้างสรรพสินค้าที่เตรียมจัดส่งหน้ากากอนามัยไปยังสาขาในต่างจังหวัดให้ชะลอการจัดส่งและนำมาจำหน่ายในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลก่อน หรือหากจัดส่งไปแล้ว ก็ขอให้นำกลับมาขายกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อรองรับความต้องการซื้อของประชาชน.
