โลกาภิวัตน์ได้เดินมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญหรือว่าเป็นเพียงแค่การชะลอตัวของวัฏจักรเศรษฐกิจและการค้าโลก ยังเป็นประเด็นยากจะตอบได้ ท่ามกลางความตึงเครียดของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่มีแนวโน้มยืดเยื้อและร้อนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงกดดันจีนมากขึ้นเกี่ยบกับการลดค่าเงินหยวน โดยเริ่มส่งสัญญาณสงครามการเงินระลอกใหม่ ซึ่งผู้นำสหรัฐต้องการให้ระบุชื่อจีนเป็นหนึ่งประเทศที่มีการปั่นค่าเงินไว้ในรายงานครึ่งแรกปีนี้ของกระทรวงการคลังสหรัฐ ซึ่งจะมีการเปิดเผยชื่อประเทศที่มีการบิดเบือนค่าเงิน
สตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ได้เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ว่า จะทำการเปิดเผยในวันที่ 15 ตุลาคม โดยไม่มีชื่อจีนอยู่ในกลุ่มที่มีการบิดเบือนค่าเงิน แต่ต้องเลื่อนกำหนดประกาศเป็นภายในสัปดาห์นี้ เนื่องจากมีการทบทวนความต้องการของประธานาธิบดีทรัมป์เพิ่มเติมในรายงานฉบับนี้ด้วย
ทั้งนี้ สำนักงานการค้าและพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNCTAD) เปิดเผยตัวเลขการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้ดิ่งลง 41% อยู่ที่ 470,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ จากปีที่แล้วที่มีมูลค่าถึง 794,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่ปี 2005
เจมส์ ซาน ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุน UNCTAD กล่าวว่า การปรับลดภาษีเงินได้ของประธานาธิบดีทรัมป์ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ FDI ทั่วโลกร่วงลง เนื่องจากบริษัทสหรัฐได้โอนเงินจากธุรกิจในต่างประเทศกลับสู่สหรัฐเป็นจำนวนสุทธิสูงถึง 217,000 ล้านดอลลาร์
การเคลื่อนย้าย FDI ที่มีการชะลอตัวลงนี้อาจจะส่งผลต่อการลดลงของระบบห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศ ซึ่งได้เป็นตัวจักรสำคัญของระบบการค้าทั่วโลกในช่วงก่อนปี 2011 หลังจากนั้นก็เริ่มเกิดการชะงักงันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
เม็ดเงิน FDI นับเป็นแรงกระตุ้นห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ดังนั้นการที่ FDI ลดลงอย่างมีนัยสำคัญนี้ อาจสร้างปัญหาต่อการค้าของโลกในอนาคต
ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนง UNCTAD ได้ทิ้งท้ายว่า โลกาภิวัตน์ได้เดินมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ หรือว่าเป็นเพียงช่วงเวลาที่มีการชะลอตัวตามวัฏจักรของเศรษฐกิจและการค้าโลก หลังจากที่เม็ดเงิน FDI ลดลงอย่างมีนัยสำญดัวกล่าว
อย่างไรก็ตาม จีนเป็นประเทศที่สามารถดึงดูดเม็ดเงิน FDI ได้เป็นอันดับ 1 ในช่วง 6 เดือนปีนี้ จำนวน 70,000 ล้านดอลลาร์ ตามมาด้วยอังกฤษเป็นอันดับ 2 มี FDI ไหลเข้าจำนวนกว่า 66,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ FDI ที่ไหลเข้ากลุ่มประเทศในยุโรปลดลงถึง 93% ในช่วงเวลาเดียวกัน
นอกจากนี้ ล่าสุด JPMorgan Chase ได้ประเมินผลของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน เป็นสิ่งที่จีนไม่อาจจะหลีกเลี่ยงความเสียหายจากผลกระทบนี้ได้ โดยที่สงครามการค้าได้ทำให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงอีก 1% ในปี 2019 จากที่ทางการจีนคาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวที่ 6.5% ต่อปี