โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อมี 5G พลิกโฉม”วิถีชีวิต-ธุรกิจ”แค่ไหน

Money2Know

เผยแพร่ 21 ก.ย 2561 เวลา 08.07 น. • money2know - เงินทองต้องรู้
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อมี 5G  พลิกโฉม”วิถีชีวิต-ธุรกิจ”แค่ไหน
กล่าวถึงกันมากสำหรับเทคโนโลยี 5G ที่จะกำลังมาเปลี่ยนโฉมกิจกรรมหลายๆอย่างของผู้คน ตั้งแต่ชีวิตประจำวันจนถึงโลกธุรกิจ แต่หากใครจินตนาการไม่ออกว่าจะเป็นอย่างไร ก็ขอให้ลองจินตนาการดูว่าจะทำให้เกิดการเชื่อมต่อและความเร็วในการส่งผ่านข้อมูลมากกว่าปัจจุบันนับพันเท่า

นายปรีชา ศิริธรรมขันติ หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการลูกค้า บริษัท โนเกีย(ประเทศไทย) กล่าวว่าเทคโนโลยี 5G เป็นเจเนอเรชั่นใหม่ของระบบคลื่นความถี่และสัญญาณเน็ตเวิร์ค ที่จะมีการเชื่อมต่อได้จำนวนมหาศาล และที่สำคัญคือความเร็วที่มากขึ้น ซึ่ง 2 สิ่งนี้จะเป็นกุญแจสำคัญสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการ หรือสตาร์ทอัพมากกว่าภาคของผู้บริโภคทั่วไปในช่วงแรก

เนื่องจากนวัตกรรมใหม่ๆที่ถูกพัฒนาจะมีการเชื่อมต่ออุปกรณ์เข้าด้วยกันมากขึ้น การส่งข้อมูลแบบทันที อย่างกรณีของที่จอดรถอัจฉริยะ(Smart Parking) มีรถเข้าออกตลอดเวลา จึงต้องอาศัยความเร็วการเชื่อมต่อที่มีความเร็วสูง รับข้อมูล ประมวลผล ส่งคำสั่งกลับไป ทุกขั้นตอนต้องมีความเสถียร

 

อีกกรณีตัวอย่างที่น่าสนใจ คือการใช้โดรนบินเช็คคลังสินค้าด้วยภาพถ่าย แต่นำภาพถ่ายมาวิเคราะห์ด้วยปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งผู้ประกอบการที่ใช้เทคโนโลยีนี้บอกว่าความเร็วของอินเตอร์นเน็ตไร้สาย(Wifi) มีความไม่เสถียรเพียงพอ ฉะนั้นเทคโนโลยีที่ 5G จะเป็นตัวเข้ามาตอบสนองนวัตกรรมใหม่นี้ได้

 

ที่เน้นย้ำว่าเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมได้ประโยชน์มากกว่า เพราะช่วงยุคเทคโนโลยีจาก 3G เปลี่ยนผ่านสู่การเป็น 4G เกิดจากความต้องการของผู้บริโภคเป็นตัวขับเคลื่อน ผู้คนต้องการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตให้เร็วขึ้น ซึ่งเทคโนโลยีตอนนี้สำหรับผู้บริโภคทั่วๆไปที่ใช้เพียงโซเชียลมีเดีย ดูวีดีโอคลิปต่างๆ ก็ยังเพียงพออยู่

ย้อนไปดูเทคโนโลยีในอดีค ยุค 1G หรือยุคโทรศัพท์มือถือกระติกน้ำ ก็จะมีความสามารถคือการโทรได้เพียงอย่างเดียว ถัดมาที่ยุค 2G คือโทรศัพท์ที่เริ่มส่งข้อมูล Data ได้แล้ว(ส่งข้อความSMS) พอเข้าสู่ช่วงยุค 3G มีความเร็วการเชื่อมต่อที่มากขึ้นเป็น 0.2 Mb/s สามารถใช้เข้าเว็บไซต์ได้ง่ายมากขึ้น ในปัจจุบันความเร็วอยู่ที่ 4G ด้วยความเร็วมากกว่า 100 Mbs/s ก็จะสามารถดาวน์โหลดวีดีโอมารับชมได้

ส่วนเทคโนโลยี 5G หัวใจหลักของความแตกต่างอยู่ที่ 3 ด้าน คือ

1. ความเร็วที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะมีความเร็วสูงมากกว่า 10-1,000 เท่าของเทคโนโลยีปัจจุบัน 

2.การตอบสนองที่ดีขึ้น ยิ่งความเร็วมากขึ้นเท่าไหร่ก็จะสามารถตอบสนองส่งและรับข้อมูลได้ดีกว่าเดิม และ

3.ประสิทธภาพการเชื่อมต่อ สามารถสร้างความเชื่อมโยงเป็นโครงข่ายได้จำนวนมาก เช่นบ้านอัจฉริยะ ที่ทุกอย่างจะเชื่อมต่อถึงกันได้

เมื่อการเชื่อมต่อทุกอย่างมีประสิทธิภาพ เทคโนโลยีช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้น องค์รวมของการพัฒนาทั้งหมดจะเป็น IOT(Internet of Thing) ฉะนั้นจึงบอกได้ว่าเทคโนโลยี 5Gจะเป็นหัวใจสำคัญของการเชื่อมต่อทุกอย่างเข้าด้วยกัน”

แต่ความเร็วสูงที่สูงขึ้น ก็จะมีการรับข้อมูลการเชื่อมต่อที่มากกว่าเดิมหลายเท่าตัว เราต้องมีอุปกรณ์ที่ฉลาดมากขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตด้วยเช่นกัน ต้องมีโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี มีตัวขับเคลื่อน(engine)ที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยก็เป็นอีกสิ่งที่ต้องวางแผน

 

สำหรับปัจจัยที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนเทคโนโลยี 5G มีอยู่ 4 อย่างด้วยกัน

1.คลื่นความถี่ การบริหารจัดการคลื่นความถี่ต้องมีความปลอดภัยสำหรับผู้บริโภค เพราะข้อมูลต่างๆจะถูกส่งต่อกันจำนวนมหาศาล จึงมีความเสี่ยงที่ต้องระวัง

2.เครื่องมือที่รองรับ(Device) แม้ว่าตัวสัญญาณต่างๆพร้อม แต่ภาคประชาชนมีอุปกรณ์ที่ตอบสนองได้เพียงพอหรือไม่

3.โครงสร้างพื้นฐานที่รองรับ ยิ่งการเชื่อมต่อมากขึ้นเท่าไหร่ ปัจจัยพื้นฐานก็ต้องเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ทั้งสายเคเบิ้ล เสาโทรศัพท์ ต้องมีการรองรับที่มากขึ้น และ

4.ความต้องการของผู้บริโภค เพราะผู้บริโภคคือคนกำหนดตลาด ว่าเขาต้องการใช้สิ่งใดบ้าง เช่นทุกวันนี้พฤติกรรมการโทรน้อยลง แต่ใช้อินเทอร์เน็ตมากขึ้น

"หากประเทศไทยจะก้าวไปที่ยุค 4.0 อย่างแท้จริง ต้องไปศึกษาว่ากลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ที่เขาเป็นผู้สร้างนวัตกรรม เขาต้องการอะไร มีอะไรที่จะตอบสนองเขาได้บ้าง อย่างตัวสัญญาณ 5G ก็เป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญ เพราะเมื่อทุกอย่างจะเชื่อมต่อกันได้หมด ต้องมีความพร้อมไปทั้งระบบ"

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0