หลายๆคนมองว่าการเดทเป็นเรื่องยาก สับสน และสิ้นเปลือง แต่ในบางกรณีกลับชิ่งหนีไปเฉยๆซะอย่างนั้น หากคุณยังไม่คุ้นเคยกับคำว่าชิ่งหนี งั้นขอเดาว่าอินเตอร์เน็ตน่าจะยังไปไม่ถึงหน้าบ้านของคุณนะ หรือไม่ก็คุณโชคดีพอที่ได้เดทกับชายหนุ่มที่กล้ายอมรับว่าไม่ต้องการคบกับคุณอีกต่อไปแล้ว อันที่จริงการชิ่งหนีไปเฉยๆก็คือการที่คุณพูดคุย หรือคบหากับใครสักคนอยู่และทุกอย่างดูเหมือนว่าจะไปได้สวยแต่ปรากฏว่าวันหนึ่งเขากลับ..เงียบหายราวกับว่าตายจากไปและคุณก็ไม่เคยได้ยินข่าวคราวของเขาอีกเลย คุณมีสิทธิสงสัยว่าตัวเองทำอะไรผิด (อาจจะไม่มีเลย) และทำไมเขาถึงไม่ส่งข้อความตอบกลับมา แน่นอนว่าบางครั้งการเดินหน้าต่อไปก็พูดง่ายมากกว่าทำโดยเฉพาะถ้าคุณเดทกับเขามาสักพักหนึ่งแล้ว ดังนั้นเราจึงรวบรวมเคล็ดลับในการปลดปล่อยเจ้าผีร้ายตนนี้ให้ออกไปจากอดีตของคุณมาฝากกัน
1. ความผิดเกิดจากเขาไม่ใช่คุณสักหน่อย การที่ใครสักคนชิ่งหนีคุณไปนั่นเป็นเพราะความกลัวที่จะเผชิญหน้าหรือไม่มีความสามารถในการจัดการกับความขัดแย้งของเขาเองต่างหาก ดังนั้นอย่ามัวเสียเวลาหา “สาเหตุ” ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
2. ลบทุกอย่างไปให้หมด ไม่เช่นนั้นหากวันหนึ่งคุณเผลอเลื่อนดูข้อความเก่าๆหรือรายชื่อในโทรศัพท์และโป๊ะเชะ! ความรู้สึกเจ็บปวดและสับสนทั้งหมดก็อาจจะกลับมาอีกครั้ง
3. จำไว้ว่าคุณสามารถแก้ปัญหาได้แต่อีกฝ่ายกลับทำไม่ได้ อย่างเช่นคำว่า “ผมขอโทษ ผมรู้สึกว่าเราไม่ควรมาเจอกันอีก” เป็นไปได้ว่าคนเหล่านี้อาจขาดทักษะในการเข้าสังคมและมารยาทก็เป็นได้ เพราะในความเป็นจริงแล้วคุณควรได้รับการปรนนิบัติด้วยความเอาใจใส่และความนับถือต่อให้ภาพถ่ายเซลฟี่ใน Tinder ของเขาจะร้อนแรงขนาดไหนก็ตาม
4. หากเขากลับมาก็อย่าไปสนใจ ไม่ยุติธรรมเลยหากคุณยอมให้คนอื่นมาล้อเล่นกับความรู้สึกของคุณแบบนั้นเว้นแต่ว่าเขามีเหตุผลดีๆที่น่ารับฟังและเข้าใจได้ เช่น ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาเขาอาศัยอยู่ใต้น้ำก็เลยไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ แต่ฉันว่าคุณคงไม่ต้องการคนประเภทนี้ให้เข้ามาอยู่ในชีวิตของคุณหรอกนะ
5. หัวเราะให้เต็มที่ไปเลย ไม่มีอะไรทำให้คุณรู้สึกดีไปกว่าการได้อยู่ท่ามกลางเพื่อนฝูงและคุยกันเรื่องผู้ชายงี่เง่าที่ไม่กล้าคุยกับผู้หญิงหรอก ปล่อยให้เขาเศร้าไปคนเดียวเถอะแต่อย่าปล่อยให้ตัวเองเศร้าเด็ดขาด