รากของความกังวล
มาจากความกลัว
กลัวสูญเสีย กลัวเจ็บ กลัวตาย
ปลายทางแห่งการปลดปล่อยความกังวล
เกิดจากการละลายหายไปของความกลัว
เช่น หายกลัวเพราะทำใจได้ชั่วคราว
หายกลัวเพราะศึกษาจนเข้าใจได้ถ่องแท้
หายกลัวเพราะใจเป็นสุขกับนาทีนี้ที่ยังไม่ต้องเป็นทุกข์
ในทางพุทธ
ไม่นิยมให้หายกลัวชั่วคราว
ด้วยการปลอบใจตัวเองไปแกน ๆ
แบบที่คนยุคเราเรียกกันว่า ‘หลอกตัวเอง’
เพราะเดี๋ยวก็ต้องย้อนกลับมานึกกลัวใหม่แล้ว ๆ เล่า ๆ
พุทธเราต้องการให้เข้าใจเหตุผลจนกระจ่าง
เพื่อย้ายจากข้างทุกข์มายืนอยู่ข้างสุขได้ถาวร
อย่างเช่นนาทีนี้
แทนการหมกมุ่นตามข่าวสถิติที่ว่า
นาทีนี้ติดเชื้อเพิ่มเท่าไร? วันนี้ตายไปกี่คน?
แล้วมันลามมาถึงห้างใกล้บ้านฉันหรือยัง?
เราน่าจะใส่ใจหาข้อมูลเพื่อความเตรียมพร้อม
เช่น มองข้อเท็จจริงให้สบายใจว่า
คนที่แข็งแรงดี แล้วได้รับการรักษาจนหาย
มีมากกว่าคนที่ตายไปเพราะเจอโรคแทรกซ้อนกี่เปอร์เซ็นต์
กับทั้งยอมรับความจริงว่า
การแพร่ระบาดไปทั่วทุกมุมโลกได้รวดเร็วขนาดนี้
อย่างไรวันหนึ่งก็ต้องมาถึงตัวเรา
โลกมีให้อยู่แค่ใบเดียว
แค่เพียงทำไว้ในใจว่า ยังไงก็ต้องติด
แต่ก่อนติดขอเตรียมร่างกายให้พร้อม
ออกกำลังกายให้แข็งแรง
กินยาบำรุงสุขภาพและภูมิคุ้มกัน
เช่น วิตามินซี ฟ้าทะลายโจร ฯลฯ
ตั้งความคิดไว้ว่า
ถ้าสุขภาพใหญ่ ไวรัสก็เล็ก
เพียงเท่านี้ ก็จะหลุดจากความกังวล
โดยไม่ต้องแกล้งปลอบตัวเองไปวัน ๆ แล้ว
เมื่อเมฆหมอกมืดดำผ่านพ้นไปจากโลก
คุณจะได้กลับมาทบทวนตัวเอง
จากการผ่านแบบทดสอบของจริงครั้งนี้ด้วยว่า
ฉันจัดเป็นพวกไหน
ระหว่างกังวลจนได้ดี กับกังวลอย่างสูญเปล่า
ถ้าคุณเป็นพวกยกระดับความกังวล
ขึ้นเป็นพร้อมเผชิญหน้าความจริงด้วยสติ
ก็พร้อมรับรางวัลบนเส้นทางพุทธก้าวต่อไป
ให้รู้ตัวว่าคุณจัดเป็นหนึ่งในชนหมู่น้อย
ที่พร้อมจะมีใจเป็นสุข
กับนาทีนี้ที่ยังไม่ต้องเป็นทุกข์แล้ว!