เพจ Peace News เผยแพร่ข่าวเมื่อวันที่ 28 ก.พ. 2563 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) วิเคราะห์ความขัดแย้งของพรรคฝ่ายค้านจากสถานการณ์อภิปรายไม่ไว้วางใจในรายการหยิบข่าว ทางสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม พีซทีวีว่า ทำให้เกิดพัฒนาการไปสู่จุดเสื่อมของการเมืองระบบรัฐสภายิ่งขึ้น
นายจตุพร กล่าวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งดำเนินมาเป็นปกติการเมืองในอดีตนั้น ต้องให้เวลาฝ่ายค้านผู้กล่าวหาความผิดรัฐมนตรี และจะขีดเส้นให้อภิปรายสรุปจบลงก่อนเที่ยงคืน เพื่อโหวตลงมติไว้วางใจหรือไม่ไว้วางใจในวันถัดไป แต่ตนไม่ทราบการตกลงกันระหว่างวิปฝ่ายค้านกับวิปรัฐบาล อย่างไร จนนำไปสู่ความบาดหมาง และทำให้พรรคอนาคตใหม่ไม่ได้อภิปรายฯรัฐมนตรีบางคนที่กล่าวหามีพฤติกรรมกระทำความผิดตามญัตติที่ยื่นต่อสภา
"สิ่งนี้จะเป็นความขัดแย้งขึ้น เพราะอนาคตใหม่มีแผลใจเยอะอยู่แล้ว ตั้งแต่ถูกยุบพรรค จากนั้น ส.ส.ถูกปล้น แล้วยังมาทำให้เข้าใจว่า พรรคฝ่ายค้านด้วยกันหักหลังซ้ำอีก ด้วยการพรรคเพื่อไทยถ่วงเวลาอภิปรายจนเกินเวลาของเขา"
รวมทั้ง ตนแปลกใจ การจบอภิปราย (เมื่อ 27 ก.พ.) ในช่วงเวลา 1 ทุ่ม ทำไม ส.ส.ทุกคนไม่ทักทวงนายชวน หลีกภัย ประธานสภาตั้งแต่ต้น ว่า ไม่ควรล็อกเวลาไว้ 1 ทุ่ม ควรให้จบก่อนเที่ยงคืน โดยตามปกติแล้ว การอภิปรายไม่ไว้วางใจควรจบประมาณ 4 ทุ่ม เพื่อเหลือเวลาให้ผู้สรุปประเด็นอีกไม่เกิน 2 ชั่วโมง นั่นเท่ากับการดำเนินการตามญัตติควรแล้วเสร็จก่อนเที่ยงคืน
“การสรุปญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นไฮไลน์สำคัญ แต่เมื่อวานนี้ (27 ก.พ.) ไม่มีการสรุปเพราะฝ่ายค้านวอกซ์เอาส์ และ อนาคตใหม่ ต้องอภิปรายฯนอกห้องประชุมหลังปิดการประชุม มันน่าเวทนา จนนำไปสู่ฝ่ายค้านต้องไปคนละทิศทางในการโหวต เพราะฝ่ายค้านบางส่วนไม่เข้าร่วมโหวต แต่อนาคตใหม่ที่เชื่อว่าเป็นฝ่ายถูกกระทำกลับเข้าไปโหวต แต่เสียงลงมติไว้วางใจออกมานั้น ได้อธิบายว่า แม้มีเสียงข้างมาก แต่เมื่อไร้ความชอบธรรมแล้ว ก็อยู่ไม่ได้”
นายจตุพร กล่าวถึงความบาดหมางระหว่างพรรคเพื่อไทยกับอนาคตใหม่ว่า สิ่งแรกที่ต้องทำคือ ต้องคุยกันให้จบ เพราะเพื่อไทยอภิปรายเกินเวลาของอนาคตใหม่เป็นความจริง พร้อมทั้งสงสัยว่า การตกลงระหว่างวิปกับประธานสภานั้น ทำไมไปทำข้อตกลงแบบไม่เข้าท่า เป็นข้อตกลงขี้เท่อกันแบบนั้น ย่อมทำให้เกิดความไม่สบายใจทางการเมืองกับอนาคตใหม่ได้ เพราะมีบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อยู่ในสภาพบ้านแตกสาแหรกขาด
“มันเป็นบทเรียนราคาแพงในการเจรจา โดยวิปรัฐบาลมีหน้าที่ยอมไม่ได้อยู่แล้ว และปกติการอภิปรายเขาล็อกวันให้สรุปจบก่อนเที่ยงคืนกันทั้งนั้น ดังนั้น การเจรจาของวิปสองฝ่าย โดยเฉพาะฝ่ายค้านเจรจาแล้วขาดทุน และยังไม่ปฏิบัติตามเวลาการอภิปรายอีก เมื่อไม่รักษาเวลาจึงเกิดการกระทบ ทำให้ญัตติอภิปรายไม่ครบคน จนเกิดปฏิกิริยาทางการเมืองสวนทางกันขึ้น ซึ่งอนาคตใหม่เข้าประชุม แต่เพื่อไทยไม่เข้าประชุมลงมติ เหตุนี้สองพรรคจึงต้องรีบไปคุยกัน”
นายจตุพร ย้ำว่า บทเรียนราคาแพงทางการเมืองของฝ่ายค้านที่เกิดขึ้น โดยพรรคเพื่อไทยแกนหลักฝ่ายค้านต้องรีบทำความเข้าใจ อย่าทำเพียงเป็นข้อสงสัย เพราะปมเกิดมาตั้งแต่มีกระแสข่าวไม่ยอมอภิปรายรัฐมนตรีบางคนอยู่แล้ว แต่อนาคตใหม่ไม่ยอม สุดท้ายยังลากการอภิปรายไปจนเกินเวลา แล้วทำให้คนที่เพื่อไทยไม่ยอมอภิปรายก็ไม่ถูกอภิปราย และอนาคตใหม่ก็ไม่ได้อภิปรายจริงๆ ดังนั้น ปมเหล่านี้ จึงสร้างความไม่พอใจกันได้ตลอดเวลา
“ขณะนี้ต้องยอมรับว่า เพื่อไทยกับอนาคตใหม่เกิดความขัดแย้งกัน แต่ไม่ถึงขั้นแตกแยกกันในฝ่ายค้าน ซึ่งควรพูดคุย และปรับเปลี่ยนกันใหม่ เพื่อไม่ให้เกิดสภาพต่างคนต่างทำ นั่นคือความเสื่อมทางการเมืองของฝ่ายค้าน และระบบสภา”
รวมทั้ง เมื่อระบบรัฐสภาเสื่อม จะมีส่วนสำคัญส่งผลให้การเมืองนอกสภาทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้น โดยก่อนอภิปรายมีการซื้อ ส.ส.งูเห่า แฉคลิปฝ่ายรัฐบาลชักชวนให้ขายตัวกันสารพัด นั่นเป็นความเสื่อมแล้ว แต่แทนที่ฝ่ายค้านจะรักษาความได้เปรียบเช่นนั้นกับบรรดาคนหนุ่มสาวนอกสภาที่ลุกฮือเต็มบ้านเต็มเมือง กลับไปทำในสิ่งที่สร้างความขัดแย้งด้วยกันเองเสียอีก เท่ากับเป็นพัฒนาการของความเสื่อม
นายจตุพร เชื่อว่า คนหนุ่มสาว ไม่ต้องการการเมืองแบบสลับซับซ้อน ต้องการแบบตรงไปตรงมา ใช่คือใช่ ไม่ใช่คือไม่ใช่ พวกเขาไม่ต้องการใครมีเหลี่ยมคูมากกว่า หรือใครอ่านสามก๊กมากกว่ากัน แต่การใช้ศิลปการเมืองต่างๆนั้นต้องใช้กับศัตรูอย่าใช้กับมิตร
“ดังนั้น ช่วงปิดประชุมสภา ฝ่ายค้านต้องรีบแก้ไข เพื่อป้องกันไม่ให้คนเสื่อมระบบรัฐกันทั้งหมด ซึ่งจะเกิดขึ้นเร็วอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด”
