โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

คาดเฟดขึ้นดอกเบี้ย0.25%สัปดาห์หน้า เตรียมรับตลาดผันผวน

Money2Know

เผยแพร่ 21 ก.ย 2561 เวลา 10.23 น. • money2know - เงินทองต้องรู้
คาดเฟดขึ้นดอกเบี้ย0.25%สัปดาห์หน้า เตรียมรับตลาดผันผวน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% จากระดับ 1.75-2.00% เป็น 2.00-2.25% ในวันที่ 25-26 ก.ย. 2561 ตลอดจนประกาศเพิ่มระดับการลดขนาดงบดุลไปที่ระดับสูงสุดที่ 5 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ/เดือน

เฟดน่าจะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% รวมทั้งประกาศเพิ่มระดับการลดขนาดงบดุลไปที่ระดับสูงสุดที่ 5 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ/เดือนในการประชุมนโยบายการเงินรอบที่หกของปีนี้ โดยมีปัจจัยสนับสนุนดังนี้

การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯยังคงแข็งแกร่ง โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโต 4.2% ในไตรมาส 2/61 ซึ้งเป็นระดับการขยายตัวที่สูงสุดในรอบ 4ปีและเป็นการเติบโตที่สูงกว่าระดับศักยภาพค่อนข้างมาก

นอกจากนี้ หากพิจารณาเครื่องชี้ภาคเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในไตรมาส 3/61 ไม่ว่าจะเป็นภาคการผลิต และตลาดแรงงานจะพบว่ามุมมองของการขยายตัวของภาคการผลิตของสหรัฐฯ ยังคงสดใสสะท้อนจากดัชนี ISM ภาคการผลิตเดือนสิงหาคม 2561ของสหรัฐฯ ที่ระดับ 61.3 อันเป็นระดับสูงที่สุดในรอบ 14ปี

ขณะที่อัตราการเพิ่มขึ้นของการจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนส.ค. 2561ยังคงเพิ่มขึ้นกว่า 2 แสนตำแหน่ง โดยท่ามกลางการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เติบโตสูงกว่าระดับศักยภาพ กอปรกับ โมเมนตัมการฟื้นตัวที่ยังคงแข็งแกร่งน่าจะส่งผลให้เฟดดำเนินการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง

พัฒนาการของอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ สอดคล้องกับเป้าหมายเงินเฟ้อของเฟด ขณะที่การเก็บภาษีนำเข้าจากจีนของสหรัฐฯ อาจจะกดดันแรงกดดันเงินเฟ้อในระยะต่อไป ทั้งนี้ ดัชนีราคาด้านการบริโภคส่วนบุคคล(PCE) อันเป็นอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายของเฟดเดือนกรกฎาคม2561เคลื่อนไหวในกรอบเป้าหมายของเฟด โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปดังกล่าวขยายตัว 2.3%

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core PCE) ปรับเพิ่มขึ้น 2.0% ขณะที่มองไปข้างหน้า การเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอาจจะส่งผลให้แรงกดดันเงินเฟ้อมีโอกาสทยอยปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสินค้าจากจีนมูลค่ารวม 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ รอบนี้จะกระทบต่อสินค้าอุปโภคบริโภคที่การส่งผ่านผลกระทบไปยังภาคเศรษฐกิจจริงได้เร็วกว่าการเก็บภาษีสินค้านำเข้าครั้งก่อนที่มุ่งเน้นไปที่สินค้าขั้นกลาง

ขณะที่การเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนรอบนี้มีน้ำหนักเกือบ 1ใน 4ของตะกร้าราคาสินค้าในสหรัฐฯ อันอาจจะเป็นปัจจัยกดดันเงินเฟ้อสหรัฐฯ ให้ทยอยปรับเพิ่มขึ้นในระยะต่อไป โดยเฉพาะหากสหรัฐฯ ปรับเพิ่มระดับการเก็บภาษีดังกล่าวจาก 10% เป็น 25% ที่อาจจะมีผลในช่วงต้นปี 2562

ประเด็นเรื่องสงครามการค้าที่ยกระดับรุนแรงขึ้น อาจเพิ่มความเสี่ยงให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่ไม่น่าจะปรับเปลี่ยนมุมมองต่อการประเมินภาพรวมการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ของเฟดในปีนี้ โดยมองว่ายังมีโอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ครั้งในปีนี้

ทั้งนี้ สถานการณ์ข้อพาพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังคงปานปลายออกไป โดยล่าสุดสหรัฐ ประกาศที่จะเริ่มเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนมูลค่า2 แสนล้านดอลลาร์ฯ โดยมีอัตราภาษีที่ 10% โดยมีผลในวันที่ 24 กันยายน 2561 อย่างไรก็ดี ผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปีนี้คงน่าจะจำกัด เนื่องจากการเก็บภาษีในครั้งนี้ได้มีการยกเว้นสินค้าที่กระทบกับผู้บริโภคสหรัฐฯออกบางส่วน ขณะที่โอกาสในการเจรจาประนีประนอมเพื่อลดทอนผลกระทบระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังคงมีอยู่

ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว เฟดน่าจะยังคงมุมมองที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 4 ครั้งในปีนี้ มองไปข้างหน้า การขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องจับตาต่อเนื่อง เนื่องจากประเด็นดังกล่าวอาจจะมีผลต่อเชื่อมโยงไปที่ระดับความเข้มข้นของสถานการณ์ข้อพิพาททางการค้าสหรัฐฯ ในระยะต่อไป

หากการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ยังคงแย่ลง อาจจะเพิ่มความเสี่ยงที่สหรัฐฯ อาจจะพิจารณาออกมาตรการเพิ่มเติม อันอาจจะส่งผลกระทบต่อการค้าโลก รวมทั้ง กลับมาเป็นปัจจัยกดดันการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในท้ายที่สุด

สำหรับผลกระทบต่อไทยคงต้องยอมรับว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดอาจเพิ่มแรงกดดันให้ประเทศในตลาดเกิดใหม่ที่มีพื้นฐานเศรษฐกิจต่างประเทศอ่อนแอ อาจจะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตาม เพื่อลดผลกระทบของการไหลออกของเงินทุน

ดอกเบี้ยตลาดเกิดใหม่
ดอกเบี้ยตลาดเกิดใหม่

อย่างไรก็ดี ในส่วนของประเทศไทยแรงกดดันต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับที่ต่ำเทียบกับกลุ่มประเทศในตลาดเกิดใหม่ เนื่องจากประเทศไทยมีพื้นฐานเศรษฐกิจต่างประเทศแข็งแกร่ง โดยมีระดับทุนสำรองในระดับสูง และมีการพึ่งพาเงินทุนจากต่างประเทศไม่มาก

ทั้งนี้ ปัจจัยที่ต้องจับตา คงหนีไม่พ้นความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้ายที่อาจจะส่งผลให้ค่าเงินบาทมีความผันผวนตาม

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0