โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

ความวิ้งๆ บนใบหน้า กับที่มาของชีวิตและแรงงานเด็กในอินเดีย

The Momentum

อัพเดต 16 ก.ค. 2562 เวลา 16.10 น. • เผยแพร่ 16 ก.ค. 2562 เวลา 16.10 น. • สันติชัย อาภรณ์ศรี

In focus

  • ไมก้าถูกนำมาใช้ในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์บิวตี้ตั้งแต่ปี1942 โดยในปี1951 บริษัทYamagushi Mica Co.,LTD. ได้สร้างโรงงานผลิตผงไมก้าขึ้นมาเพื่อนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์ความงามต่างๆ ในประเทศญี่ปุ่น และไมก้านั้นเพิ่งจะมาได้รับความนิยมในทางคอมเมอร์เชียลในช่วงปี1978 นี่เอง 
  • แร่“ไมก้า” ส่วนมากมาจากรัฐฌาร์ขัณฑ์ และรัฐพิหารในประเทศอินเดีย โดยใช้แรงงานเด็กผิดกฎหมายกว่า22,000 คน มีตั้งแต่อายุ4-5 ขวบไปจนถึง18 ปี70% ของแรงงานในเหมือนแร่ไมก้านั้นเป็นแรงงานที่ผิดกฎหมาย และบางครั้งก็เกิดเหมืองถล่มจนทำให้เกิดการเสียชีวิต 
  • ในปี2017 เกิดความร่วมมือกันระหว่างแบรนด์เครื่องสำอางระดับโลกกว่า40 แบรนด์ ภายใต้ชื่อResponsible Mica Initiative หรือRMI เพื่อกำหนดเป้าหมายว่าภายในปี2022 การนำแร่ไมก้ามาใช้ในอุตสาหกรรมความงามนั้นจะไม่ได้มาจากการใช้แรงงานเด็กที่ผิดกฎหมาย

 

หนึ่งในเทรนด์ฮิตของการแต่งหน้าในปัจจุบันนี้ก็คือความวิ้งวับของประกายชิมเมอร์จากบรรดาเครื่องสำอางไม่ว่าจะเป็นรองพื้น อายแชโดว์ บลัชออน ไฮไลต์ แป้ง และอีกหลากหลายไอเท็มที่เดี๋ยวนี้ล้วนแล้วแต่เสริมประกายชิมเมอร์ลงไปในผลิตภัณฑ์เพื่อตอบรับเทรนด์การแต่งหน้าในปัจจุบัน 

ขอวาวๆ วิ้งๆ ในแบบหนังปลาทูเลยแม่! 

แต่รู้หรือไม่ว่าไอ้ประกายวิ้งๆ วาวๆสไตล์หนังปลาทูที่ว่านี้มันทำมาจากอะไรแล้วต้องแลกมาด้วยอะไรบ้าง

สิ่งที่เรียกว่าชิมเมอร์ หรือสิ่งที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ความงามทั้งหลายเกิดประกายวิ้งๆ วาวๆ นั้นมาจากการใช้แร่ที่เรียกว่า“ไมก้า” ซึ่งเป็นแร่ธรรมชาติที่มีความวิ้งวับ ไมก้าถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ความงามมากมาย เพื่อผลลัพธ์ความวิ้งวับอย่างเป็น“ธรรมชาติ” 

แร่ไมก้านั้น ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมมากมายทั้งยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ ก่อนที่พิกเมนต์ของมันที่มีความวิบวับโดยธรรมชาติจะเตะตาวงการบิวตี้และถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ความงาม 

ไมก้าถูกนำมาใช้ในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์บิวตี้ตั้งแต่ปี1942 แต่ยังไม่ได้รับความนิยมมากนักโดยในปี1951 บริษัทYamagushi Mica Co.,LTD. ได้สร้างโรงงานผลิตผงไมก้าขึ้นมาเพื่อนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์ความงามต่างๆ ในประเทศญี่ปุ่น และในปี1965 บริษัทDupont Corporation ซึ่งเป็นบริษัทที่คิดค้นวิจัยสีที่ใช้ในอุตสาหกรรม ได้พัฒนาไทเทเนียมไอออกไซด์(สารที่ใช้อย่างแร่หลายในผลิตภัณฑ์ความงาม สีและกระจก มีคุณสมบัติคือป้องกันแสงแดด) เคลือบด้วยไมก้าขึ้น แต่ในอุตสาหกรรมความงามนั้นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ไมก้าเพื่อสร้างประกายความวาววับชิมเมอร์นั้นเพิ่งจะมาได้รับความนิยมในทางคอมเมอร์เชียลในช่วงปี1978 นี่เอง 

แม้โรงงานผลิตผงไมก้าที่มีชื่อเสียงจะเริ่มต้นที่ประเทศญี่ปุ่น แต่เหมืองแร่ไมก้าที่เป็นแหล่งส่งออกแร่ไมก้าที่สำคัญของโลกอยู่ที่ประเทศอินเดีย

ถนนดินในหมู่บ้านอันไกลโพ้นห่างไกลความเจริญในรัฐฌาร์ขัณฑ์ประเทศอินเดียเต็มไปด้วยความระยิบระยับไม่ต่างจากใบหน้าของหญิงสาวที่แต่งแต้มไปด้วยเครื่องสำอางประกายชิมเมอร์ เพราะสิ่งที่ปนอยู่ในถนนดินเหล่านั้นและในเครื่องสำอางที่สาวๆ ใช้คือสิ่งเดียวกันนั่นคือแร่ไมก้า และที่รัฐฌาร์ขัณฑ์ และรัฐพิหารในประเทศอินเดียนี่เองคือที่ตั้งของเหมืองแร่ไมก้าที่ส่งออกไปทั่วโลก

จากรายงานขององค์กรTerre des Hommes (TDH) ในปี2018 พบว่ามีแรงงานเด็กที่ทำงานในเหมืองแร่ไมก้าที่ประเทศอินเดียสูงถึง22,000 คน และคำว่าแรงงานเด็กนั้นมีตั้งแต่อายุ4-5 ขวบไปจนถึง18 ปีเลยทีเดียว โดย70% ของแรงงานในเหมือนแร่ไมก้านั้นเป็นแรงงานที่ผิดกฎหมาย เนื่องจากอายุต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้

ในปี2016 สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า มีเด็ก7 คนเสียชีวิตจากเหมืองถล่ม และจากการลงพื้นที่ของRefinery 29 พบว่าเหตุการณ์เหมืองถล่มเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทั้งที่มีข่าวและไม่มีข่าว และเกิดการเสียชีวิตหรือแค่บาดเจ็บ ในขณะที่คำตอบของเด็กๆ ที่มีอายุต่ำกว่าเกณฑ์ที่ต้องมาใช้แรงงานทำเหมืองไมก้านั้นกล่าวว่า“ถ้าไม่ทำก็ไม่มีกิน” 

คำถามที่ตามมาก็คือเทรนด์การแต่งหน้าและผลิตภัณฑ์ความงามทั้งหลายที่ใช้แร่ไมก้าในการทำเพื่อให้เกิดเอฟเฟ็กต์ความวิ้งวับเป็นประกาย มาจากการใช้แรงงานเด็กที่ผิดกฎหมายในอินเดียหรือไม่ และถือเป็นการสนับสนุนให้วงจรนี้เกิดขึ้นต่อไปหรือไม่ 

ประกายวิ้งๆ บนใบหน้าของเรานั้นแลกมาด้วยชีวิตใครหรือเปล่า

แบรนด์ความงามทั้งหลายไม่ค่อยจะพูดถึงประเด็นเหล่านี้มากนักแต่หนึ่งในแบรนด์ที่ออกมาพูดเรื่องนี้อย่างชัดเจนก็คือแบรนด์เครื่องสำอางสัญชาติอังฤษอย่างLUSH ที่หยุดใช้ไมก้าจากธรรมชาติในการสร้างผลิตภัณฑ์ความงามของแบรนด์มาตั้งแต่ปี  2014 และหันมาใช้ไมก้าสังเคราะห์จากแล็ปแทน

แต่ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าการการไม่ใช้ไมก้าจากธรรมชาติของแบรนด์LUSH นั้นแม้จะฟังดูดีงาม แต่มันไม่อาจะช่วยแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนของการใช้แรงงานเด็กในเหมืองไมก้าได้ และที่สำคัญมันไม่ได้ช่วยให้เด็กเหล่านั้นมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 

หนึ่งในแบรนด์ที่ตัดสินใจยังใช้ไมก้าจากธรรมชาติอยู่ แต่ลงมาขับเคลื่อนประเด็นนี้อย่างจริงจังก็คือ L’Oréal ซึ่งมีแบรนด์ในบริษัทอย่างMaybelline, Urban Decay, Essie, Nyx ลอรีอัลคิดว่าการปฏิเสธไม่ใช้ไมก้าจากธรรมชาติเลย ไม่ได้เป็นหนทางที่จะช่วยให้เด็กๆ เหล่านั้นมีชีวิตที่ดีขึ้นมากนัก โดยเฉพาะในแง่เศรษฐกิจ เพราะหมู่บ้านเหล่านั้นเป็นหมู่บ้านที่ยากจนมาก ชีวิตความเป็นอยู่ขึ้นอยู่กับการทำงานใช้แรงงานในเหมืองแร่ สิ่งที่ลอรีอัลทำก็คือยังคงซื้อแร่ไมก้าอยู่เพื่อให้พวกเขาเหล่านั้นมีรายได้มาจุนเจือครอบครัว แต่จะซื้อเฉพาะเหมืองที่เชื่อถือได้ มีการการันตีว่าไม่ได้ใช้แรงงานเด็กที่ผิดกฎหมาย

ในปี2017 เกิดความร่วมมือกันระหว่างแบรนด์เครื่องสำอางระดับโลกกว่า40 แบรนด์เพื่อแก้ไขและป้องกันความไม่สวยงามเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ความสวยงามจากแร่ไมก้านี้ ภายใต้ชื่อResponsible Mica Initiative หรือRMI ซึ่งมีแบรนด์ที่เข้าร่วมมากมาย ทั้งL’Oréal, Estée Lauder Companies, LVMH, Coty, Chanel, Burt’s BeesและShiseido เพื่อกำหนดเป้าหมายว่าภายในปี2022 การนำแร่ไมก้ามาใช้ในอุตสาหกรรมความงามนั้นจะต้องมาด้วยวงจรที่สวยงาม ไม่ได้มาจากการใช้แรงงานเด็กที่ผิดกฎหมายหรือทำให้ใครต้องได้รับความบาดเจ็บและเสียชีวิตอีก

  และอีกหนึ่งในองค์กรที่ทำงานด้านแรงงานเด็กในอินเดียก็คือKSCF และBBA ของไกรลาส สัตยาธิ เจ้าของรางวัลโนเบลในปี2014 ที่สามารถช่วยเหลือเด็กกว่า80,000 คนทั่วประเทศอินเดียที่ตกเป็นทาสการค้าแรงงานเด็กได้ โดยในจำนวนนั้นมีถึง3,000  คนที่ทำงานในเหมืองไมก้า โดยบริษัทที่ให้การสนับสนุนการทำงานของไกรลาส สัตยาธิก็คือEstée Lauder  ซึ่งมีแบรนด์เครื่องสำอางในเครืออย่างM.A.C., Clinique, Smashbox, Bobbi Brown

อีกหนึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวเนื่องกันก็คือราคาขายไมก้า ที่ทำให้ครอบครัวต่างๆ ในรัฐฌาร์ขัณฑ์และรัฐพิการต้องใช้แรงงานเด็กซึ่งเป็นลูกเป็นหลานในการทำงานแทนที่เด็กเหล่านั้นจะได้เรียนหนังสือก็คือ ราคาขายไมก้า ซึ่งปัจจุบันมีราคาขายเพียงกิโลกกรัมละ3-10 รูปี(ขึ้นอยู่กับคุณภาพของไมก้า) ในขณะที่แรงงานผู้ใหญ่สามารถหาได้วันละ50 กิโลกรัม ซึ่งเท่ากับว่าหนึ่งวันสามารถทำเงินได้เพียง60-240 บาท ซึ่งไม่พอที่จะจุนเจือครอบครัว จึงต้องพยายามเพิ่มจำนวนการหาไมก้าให้ได้โดยนำเอาแรงงานเด็กในครอบครัวมาช่วยทำงาน เพื่อจะได้เงินในการขายมากขึ้น แต่ถ้าหากสามารถขายไมก้าได้ในราคาที่ไม่ถูกกดซึ่งควรจะเป็นกิโลกรัมละ40-50 รูปี ครอบครัวเหล่านี้ก็สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องนำเอาลูกหลานมาเป็นแรงงานผิดกฎหมาย

บางทีอาจจะถึงเวลาแล้วที่นอกจากเราจะเรียนรู้ทริกในการแต่งหน้าว่าจะแต่งหน้าสไตล์นี้อย่างไร ใช้อะไรบ้าง เราอาจจะต้องมาเรียนรู้และศึกษาว่าเครื่องสำอางแต่ละชิ้นบนโต๊ะเครื่องแป้งที่เราใช้นั้น มันมีส่วนประกอบมาจากอะไรบ้าง และแต่ละส่วนประกอบนั้นมันมีที่มาที่ไปอย่างไร 

อย่าให้ความสวยงามมันต้องตั้งอยู่บนชีวิตของใครอีกเลย

อ้างอิง

https://www.marieclaire.com/beauty/a23722189/mica-in-makeup-controversy/

https://www.refinery29.com/en-us/2019/05/229746/mica-in-makeup-mining-child-labor-india-controversy

ภาพ: GETTYIMAGES, Nita Bhalla/REUTERS

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0