โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

เจาะคีย์สำคัญที่ทำให้กลุ่ม JMART กำลังเติบโตได้แบบไม่มีวันหยุด!!

Wealthy Thai

อัพเดต 10 ส.ค. 2566 เวลา 00.14 น. • เผยแพร่ 01 ธ.ค. 2564 เวลา 09.09 น. • Maratronman

ในครั้งนี้ Wealthy Thai จะพาไปเจาะลึกแผนของกลุ่มเครือเจมาร์ท ที่ผ่านการทำกลยุทธ์ร่วมกันภายในกลุ่ม และการจับมือร่วมกับกลุ่มบริษัทมูลค่าหลักแสนล้านอย่างบีทีเอส กรุ๊ป รวมถึงจะพาไปดูความมั่งคั่ง และเจาะลึกแผนธุรกิจแนวโน้มมุมมองในอนาคตของกลุ่มเจมาร์ทจากมุมมองนักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน และที่สำคัญคือจะพาไปเคาะคำนวณราคาเป้าหมายของหุ้นในแต่ละตัวของกลุ่มเจมาร์ท
ก่อนอื่นเลยขอย้อนไปเมื่อช่วงเดือนส.ค.ที่ผ่านมาทุกคนคงจะจำกันได้ว่ามีกระแสข่าวว่าจะเกิดอภิมหาดีลเกิดขึ้นอีกหนึ่งดีลในปี 64 จากการที่กลุ่มบริษัทเจมาร์ทมีแผนผนึกกำลังร่วมกับกลุ่มของบีทีเอส แต่อย่างไรก็ตามกระแสข่าวดังกล่าวก็เป็นเพียงข่าวลือได้ไม่นานเมื่อทั้งสองบริษัทได้แถลงข่าวการร่วมมือกันทางธุรกิจกันจริงด้วยการที่กลุ่มเจมาร์ทได้เพิ่มทุนเพื่อเปิดทางให้ทางกลุ่มบีทีเอสเข้าไปถือหุ้น
การร่วมเป็นพันธมิตรครั้งนี้ จะสร้างความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ให้กับทั้งสองกลุ่ม ได้มากน้อยแค่ไหนคงจะต้องจับตารอดู แต่อย่างไรก็ตามช่วงที่ผ่านมานี้เริ่มสร้างให้เห็นแล้วว่ามีผลต่อราคาหุ้นต่อกลุ่มเจมาร์ทมากแค่ไหน โดยกลุ่ม JMART วางเป้าจะมีกำไรเติบโต 50% 3 ปีนับจากนี้คาดว่าจะยังสามารถเติบโตได้อีกปีละ 50% ผลของการเติบโตหลักมาจาก JMT ที่ตั้งเป้าจะเป็นเบอร์หนึ่งในธุรกิจบริหารสินทรัพย์ภายใน 3 ปีนับจากนี้ ขณะที่ SINGER วางเป้าหมาย 5 ปี นับจากนี้จะขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของกลุ่มธุรกิจ Non-bank
ทั้งนี้กลุ่มเจมาร์ทวางเป้าหมายไว้ว่ามูลค่าของกลุ่มบริษัทรวมกันจะเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 3 เท่า จากเดิมรวมกันอยู่ที่ระดับ 1 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตามแผนการเติบโตของกลุ่มเจมาร์ทนั้นยังไม่นับรวมการผนึกพันธมิตรต่อยอดธุรกิจใหม่ๆ เพิ่มเติมร่วมกับ VGI และ U ภายในเครือข่าย 3M ของกลุ่มบีทีเอส เพียงแค่กลยุทธ์ที่กล่าวมาข้างต้นนั้นก็พอจะทำให้เห็นวิธีการเติบโตแบบยังไม่มีที่ท่าว่าจะหยุดได้
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด มองว่าแผนการใส่เงินเพิ่มทุนของกลุ่มบีทีเอสให้กับกลุ่มเจมาร์ทนั้นน่าจะเสร็จสิ้นได้ภายในสิ้นปี 2564 โดยช่วงระยะเวลาคือ แผนเพิ่มทุนของทั้ง JMART JMT และ SINGER ผ่านการอนุมัติโดยผู้ถือหุ้นของใน EGM เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนไปแล้ว
สำหรับขั้นต่อไปจะเป็นการใส่เงินทุน/จ่ายเงินสด (หรือการจัดสรรแบบ PP) โดยกรอบเวลาคร่าว ๆ สำหรับ JMART คือประมาณสิ้นเดือนพฤศจิกายน ส่วนของ SINGER จะเป็นช่วง 7-14 ธันวาคม (RO และ PP) จากนั้นจะเป็นของ JMT ในช่วงวันที่ 14-20 ธันวาคม ดังนั้น จึงคาดว่ากระบวนการเพิ่มทุนทั้งหมดน่าจะสรุปจบได้ภายในสิ้นปีนี้

มองอนาคตต่อจากนี้อย่างไร

ผลของการเติบโตของกลุ่มรวมเป็นการผนึกกำลังการเติบโตของแต่ละบริษัทในเครือ โดยเริ่มกันที่มุมมองแนวโน้มของ JMART บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดกำไร 4Q64 จะฟื้นตัวกลับมาอยู่ระดับ 350-400 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 30%QoQ มาจากทั้งกลุ่มการเงิน (JMT-SINGER) กำไรเติบโตได้ตามขนาดพอร์ตที่ขยายตัวทุกไตรมาส และการพลิกมีกำไรของ KBJ จากปริมาณการตั้งสำรองที่ลดลง
โดยธุรกิจมือถือจะฟื้นตัวแรงจากไตรมาสก่อนที่ 60-70 ล้านบาท หลังกลับมาเปิดสาขาปกติ และอุปสงค์ที่แข็งแรงโดยเฉพาะ iPhone 13 หนุนยอดขายทำจุดสูงสุดของปี ประกอบกับการเปิดสาขาใหม่ JAS Village Kubon ในช่วงปลายปีของ J ที่มีกำไรทันที ทำให้กำไรเข้าเป้าหลัง 9M64 ทำได้คิดเป็น 67% ของกำไรที่เรามองไว้ 1,242 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56%
ปรับราคาเหมาะสมสำหรับ 12 เดือนข้างหน้าขึ้นอีก 8% เป็น 50.50 บาท/หุ้น อิง SOTP เพื่อสะท้อนมูลค่า JMT-SINGER และ ธุรกิจมือถือ (core) เปรียบเทียบอุตสาหกรรม อย่างไรก็ดีมูลค่าของ JMART ยังมี Upside สำคัญ 2 ปัจจัยที่นอกเหนือประมาณการของเราและตลาด ได้แก่ i) ความร่วมมือในระดับธุรกิจหลังกลุ่ม BTS เข้าทำธุรกรรมแล้วเสร็จในปลายปีนี้ โดยเฉพาะการเข้ามาใช้ช่องทางขาย-จำหน่ายสินค้า-ให้บริการร่วมกัน ii) ธุรกิจ JVC ที่อยู่ระหว่างพัฒนาโครงการใหม่ และหาก JFIN coin ถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายผ่านเครือข่ายพันธมิตรที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2565
สำหรับ นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) JMT ระบุว่าสองปัจจัยที่ตลาดอาจทบทวนประมาณการขึ้น ซึ่งสิ่งน่าสนใจมากกว่ากำไรสุทธิที่เกิดขึ้น คือปริมาณหนี้ลงทุน 7,113 ล้านบาท ในงวด 9 เดือนปี 64 สูงกว่าเป้าหมายที่เคยให้ไว้ 6 พันล้านบาท มากสุดในอุตสาหกรรมและเป็นสถิติใหม่ของบริษัท เป็นฐานสำคัญสำหรับการเติบโตในปีหน้า
ขณะเดียวกันเงินสดเรียกเก็บที่ทำสถิติสูงสุดใหม่ตั้งแต่ไตรมาส 3/64 ที่มีการล๊อคดาวน์ แต่ยังดีกว่าคาดถึง 25% สะท้อนถึงความสามารถในการเจรจาประนอมหนี้แม้ในช่วงยากลำบาก ทั้งการลงทุน-เก็บหนี้ที่ทำได้ดีกว่าแผนเดิม มีโอกาสที่จะเห็นยอดเก็บเงินสดในปี 2565 อาจถึงระดับ 6,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50% จากปีก่อน หรือเฉลี่ย 1,500 ล้านบาทต่อไตรมาส ทำให้ตลาดอาจต้องทบทวนประมาณการกำไรปี 2564-65 ขึ้นอีกราว 10-20% มาใกล้เคียงกับที่เรามองไว้ระดับ 1.4และ2.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% และ+71% ตามลำดับ
ส่วน SINGER เป็นอีกหนึ่งความหวังของกลุ่ม ซึ่งเริ่มเห็น Synergy ด้านธุรกิจกับ VGI-U ตั้งแต่ในไตรมาส 4/64 แล้ว นอกเหนือการขยายไลน์สินค้าใหม่ในกลุ่ม Commercial รองรับการเปิดเมือง (ตู้แช่หมูกะทะ) บริษัทยังได้เดินหน้าสร้าง Synergy กับกลุ่ม BTS จากการนำสินค้าขายผ่านตัวแทน จาก Fanslink ( ธุรกิจค้าส่งสินค้า IT ที่ถือหุ้นโดย VGI) เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า , อุปกรณ์เสริม IT ,Xiaomi IoTs เป็นต้น
รวมถึงการเปลี่ยนแฟรนไชส์กว่า 3,000 สาขา ทั่วประเทศเป็นจุดรับ-ส่งสินค้า (Drop point) ของ Kerry (KEX) ซึ่งทำให้บริษัทมีรายได้บริการสูงขึ้น ขณะไม่มีต้นทุนส่วนเพิ่ม แม้รายได้ข้างต้นอาจเกิดขึ้นไม่มากในช่วงเริ่มต้น แต่เราเชื่อว่าจะขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญในปี 2565 เป็น Upside risk ที่ตลาดยังไม่ได้ใส่ไว้ในประมาณการ
โดยกระบวนการเพิ่มทุนในเดือน พ.ย.อาจเป็นปัจจัยกดดันราคาหุ้นช่วงสั้น แต่เรามองเป็นโอกาสสะสม ด้วยแนวโน้มกำไรขยายตัว +61/+41%YoY ในปี 2564-65 สูงกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่ม 10-15% จากปีก่อนราคาหุ้นสมควรที่บริษัทจะมี premium คงคำแนะนำ ซื้อ บนราคาเหมาะสมปี 2565 เท่ากับ 49 บาท
ด้าน J เป็นอีกหนึ่งบริษัทในจักรวาลของกลุ่ม ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาธุรกิจได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์จึงทำให้อัตราการเช่าพื้นที่ได้รับผลกระทบตามภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัวแบบลดลงตามไปด้วย แต่อย่างไรก็ J ได้เปิดศูนย์การค้าแห่งใหม่ JAS Green Village ใน เดือน ธ.ค.64 ที่จะทำให้ไตรมาส 4/64 และในปี 65 ด้วยอัตราผู้เช่าสูงกว่า 90% ซึ่งจะสร้างกระแสรายได้ใหม่ให้กับบริษัท

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0