โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

คลังเตรียมเบิกจ่ายงบลงทุนปี 63 เข้าระบบเศรษฐกิจ 3.5 แสนล้านบาท

NATIONTV

อัพเดต 21 ก.พ. 2563 เวลา 10.30 น. • เผยแพร่ 21 ก.พ. 2563 เวลา 10.01 น. • Nation TV
คลังเตรียมเบิกจ่ายงบลงทุนปี 63 เข้าระบบเศรษฐกิจ 3.5 แสนล้านบาท
คลังเตรียมเบิกจ่ายงบลงทุนปี 63 เข้าระบบเศรษฐกิจ 3.5 แสนล้านบาท

นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563 ดร. อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้พบปะและแลกเปลี่ยนมุมมองด้านการบริหารนโยบายเศรษฐกิจการเงินการคลัง กับนักวิเคราะห์และนักลงทุนสถาบันในโครงการตลาดทุนพบภาครัฐ จำนวนกว่า 50 คนจากบริษัทหลักทรัพย์และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม 36 บริษัท ณ ห้องประชุมเสรี จินตนเสรี ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งโครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ภาคตลาดทุนรับทราบทิศทางการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจการเงินการคลัง เพื่อนำไปประกอบการวิเคราะห์โอกาสของการลงทุนในตลาดทุนไทย

ดร. อุตตมฯ ได้กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบจากภาคการท่องเที่ยว และการส่งออกที่ชะลอลง อันเป็นผลจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 แต่ผลกระทบดังกล่าวคาดว่าจะเกิดขึ้นเพียงช่วงระยะเวลาหนึ่ง ในขณะที่ภาพรวมโครงสร้างเศรษฐกิจมหภาค การคลังและการเงินของประเทศไทย ยังคงแข็งแกร่ง หนี้สาธารณะ และเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งเป็นโอกาสให้รัฐบาลสามารถออกมาตรการได้อีกมาก เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบให้กับประชาชนและภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้อง และเมื่อปัญหาต่าง ๆ คลี่คลาย และเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว เศรษฐกิจไทยจะหันกลับมาเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งอย่างรวดเร็ว กระทรวงการคลังได้ทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนในการรับมือกับปัญหาต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว รัฐบาลได้มีมาตรการในการส่งเสริมการอุปโภคบริโภค และการลงทุน ทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง และดูแลประชาชนในทุกกลุ่ม เช่น ชุดมาตรการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลจากภัยแล้ง มาตรการชิมช็อปใช้ ที่กระตุ้นการท่องเที่ยว และการบริโภคภายในประเทศเพื่อชดเชยผลกระทบจากสงครามการค้า การลดภาระทางการเงินและเสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs และเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบ มาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อภาคธุรกิจท่องเที่ยว โดยประกอบด้วยมาตรการขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากเดิมภายในเดือนมีนาคม 2563 เป็นภายในมิถุนายน 2563 มาตรการหักค่าใช้จ่ายอบรมสัมมนาภายในประเทศได้ 2 เท่าของรายจ่ายจริง มาตรการหักค่าใช้จ่ายปรับปรุงอาคารถาวร เครื่องตกแต่ง / เฟอร์นิเจอร์ สำหรับผู้ประกอบการโรงแรมได้ 1.5 เท่าของรายจ่ายจริง และ มาตรการลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบิน มาตรการขยายเวลาชำระหนี้และค่าธรรมเนียมของผู้ประกอบการที่เป็นลูกค้าของธนาคารภายใต้กำกับของกระทรวงการคลัง เช่น ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. และ SME Bank เป็นต้น และมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเงื่อนไขผ่อนปรนวงเงินรวม 123,000 ล้านบาท ดอกเบี้ยเริ่มต้นร้อยละ 3 ของธนาคารออมสิน SME Bank และธนาคารกรุงไทย  สำหรับการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2563 วงเงิน 3.2 ล้านล้านบาทซึ่งอยู่ระหว่างกระบวนการ ที่จะให้มีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย รัฐบาลได้เตรียมการล่วงหน้าเพื่อให้การเบิกจ่ายงบประมาณเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้มีเม็ดเงินอัดฉีดลงสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว โดยเฉพาะการเบิกจ่ายงบลงทุนวงเงิน 6.4 แสนล้านบาทนั้น รัฐบาลได้เตรียมความพร้อมที่จะเบิกจ่ายได้ทันที 3.5 แสนล้านบาท และอีกประมาณ 9.6 หมื่นล้านบาท พร้อมที่จะลงนามในสัญญา ส่วนที่เหลืออีก 2.4 แสนล้านบาทอยู่ระหว่างการเตรียมการ นอกจากนี้ ในส่วนของงบประมาณที่เป็นรายจ่ายประจำ รัฐบาลได้มีนโยบายให้เร่งเบิกจ่าย อาทิ เร่งการจัดอบรมสัมมนาในต่างจังหวัด ซึ่งจะกระตุ้นการใช้จ่ายในภาคการท่องเที่ยวได้อีกทางหนึ่ง และงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับภัยแล้งที่พร้อมจะเบิกจ่าย เพื่อจะช่วยเหลือเกษตรกร นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 ในช่วงที่งบประมาณรัฐบาล 2563 ยังไม่มีผลบังคับใช้ งบลงทุนของรัฐวิสาหกิจได้มีบทบาทสำคัญในการผลักดันเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจถึง 9.1 หมื่นล้านบาท ในระยะยาว รัฐบาลยังยึดมั่นในพันธกิจสำคัญคือการดำเนินการเพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน และปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยให้พร้อมรับความท้าทายและโอกาส ทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ ทั้งในเรื่องเทคโนโลยี นวัตกรรม การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยต้องเริ่มจากเศรษฐกิจฐานรากเพื่อสร้างความสมดุลในกับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้กล่าวทิ้งทายว่า การที่เศรษฐกิจไทยจะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคและเตรียมพร้อมเดินหน้าต่อได้ทันทีเมื่อสถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติได้นั้น ต้องอาศัยความเข้าใจ  และความร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนรวมถึงตลาดทุน และสื่อมวลชนที่ต้องช่วยกันสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจและเชื่อมั่นในกระบวนการทำงานและการออกมาตรการที่รวดเร็วสอดรับกับสถานการณ์ เพราะความเชื่อมั่นจะมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนให้เศรษฐกิจมีความแข็งแกร่งและเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ  

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0