โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

คลังพร้อมเปิดลงทะเบียน “ชิมช้อปใช้เฟส2” 23 ต.ค.นี้

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 05 ส.ค. 2565 เวลา 07.30 น. • เผยแพร่ 16 ต.ค. 2562 เวลา 10.38 น.
72275
สศค. จ่อเปิดลงทะเบียน “ชิมช้อปใช้เฟส2” 23 ต.ค.นี้ ส่วนรูปแบบอยู่ระหว่างพิจารณา ชี้เฟสแรก 19 วัน มีการใช้จ่ายแล้วรวม 8,282 ล้านบาท พร้อมแนะนำประชาชนใช้จ่ายผ่านเป๋า 2 รับ cash back 15%

นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าโครงการ “ชิมช้อปใช้” เฟส 2 อยู่ในขั้นตอนการพิจารณารูปแบบ ซึ่งจะนำเรียนเข้าสู่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 22 ต.ค.62 และวันที่ 23 ต.ค.นี้ พร้อมเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนได้ในเวลาทำการ 08.00 น. เป็นต้นไป

สำหรับรูปแบบชิมช้อปใช้เฟส 2 นั้น จะมีการเปิดลงทะเบียนเพิ่มจำนวนเท่าไหร่ และจะได้สิทธิ์กระเป๋า 1 เหมือนกับเฟสแรกหรือไม่นั้น อยู่ระหว่างการพิจารณา อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นจะเป็นการสร้างแรงจูงใจประชาชนให้ออกไปท่องเที่ยวมากกว่าเฟสแรก ส่วนจำนวนผู้ลงทะเบียนนั้นคาดว่าจะน้อยกว่าจำนวนเปิดลงทะเบียนในเฟสแรก โดยโครงการชิมช้อปใช้เฟส 2 ที่จะออกมานั้นจะสิ้นสุดถึงวันที่ 30 พ.ย.62 ตามกำหนดการเดิมของชิมช้อปใช้เฟสแรก และคาดว่าจะนำวงเงินที่เหลือจากเฟสเดิมที่จำนวน 1.9 หมื่นล้านบาท มาใช้เป็นงบประมาณในชิมช้อปใช้เฟส 2 ด้วย ซึ่งการออกโครงการเฟส 2 จะส่งผลให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ถึง 6 หมื่นล้านบาทตามคาดการณ์เดิม

ขณะที่ชิมช้อปใช้เฟสแรกนั้น มีผู้ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 23-27 ก.ย.62 ที่ไม่ได้ใช้จ่ายเงิน 1,000 บาท ภายใน 14 วัน ตามเงื่อนไขที่กำหนด กระทรวงการคลังได้ตัดสิทธิไปแล้ว รวมทั้งหมด 439,000 ราย อย่างไรก็ดี จะพิจารณาให้คนกลุ่มนี้เข้าไปอยู่ในชิมช้อปใช้เฟส 2 ด้วยหลักการว่าจะสามารถทำได้อย่างไรบ้าง

ซึ่งจากการประเมินชิมช้อปใช้เฟสแรกในการใช้จ่าย 19 วัน มีผู้ใช้สิทธิ์ 8,519,390 ราย มีการใช้จ่ายรวม 8,282 ล้านบาท โดยเป็นการใช้จ่ายในร้านค้าขนาดเล็กตามวัตถุประสงค์ของมาตรการฯ ร้อยละ 82 หรือ 6,793 ล้านบาท และการใช้จ่ายในร้านค้าขนาดใหญ่ที่มีหลายสาขามีสัดส่วนลดลงอย่างต่อเนื่อง จากช่วงเริ่มต้นมาอยู่ที่ร้อยละ 18 หรือ 1,489 ล้านบาท โดยมีการใช้จ่ายกระจายครบทุกจังหวัดทั่วประเทศ ไม่ได้กระจุกตัวเฉพาะในเมืองใหญ่ โดยการใช้จ่ายในกรุงเทพฯ คิดเป็นเพียงร้อยละ 13

ทั้งนี้ เป็นการใช้จ่าย g-Wallet ช่อง 1 ประมาณ 8,169 ล้านบาท เป็นการใช้จ่ายที่ร้าน“ช้อป” ซึ่งเป็นร้านในกลุ่ม OTOP ร้านวิสาหกิจชุมชน รวมทั้งร้านธงฟ้าประชารัฐ และบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว 4,576 ล้านบาท ส่วนร้าน“ชิม” หรือร้านอาหารและเครื่องดื่มมียอดใช้จ่าย 1,152 ล้านบาท และร้าน “ใช้” เช่น โรงแรม โฮมสเตย์ มียอดใช้จ่าย 96 ล้านบาท

และร้านค้าทั่วไปมียอดใช้จ่าย 2,345 ล้านบาท การใช้จ่าย g-Wallet ช่อง 2 มีการใช้สิทธิ์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีผู้ใช้สิทธิ์แล้ว 36,854 ราย ยอดใช้จ่ายรวม 113 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากวันก่อนหน้า หรือเฉลี่ยรายละ 3,066 บาท เป็นการใช้จ่ายที่ร้าน “ช้อป” 70 ล้านบาท ร้าน “ชิม” และร้าน “ใช้” มียอดใช้จ่าย 28 ล้านบาท และ 15 ล้านบาท ตามลำดับ

โฆษกกระทรวงการคลังได้กล่าวว่า ประชาชนสามารถเติมเงิน เพื่อใช้จ่ายผ่าน g-Wallet ช่อง 2 ได้ทั้งร้านชิมช้อปใช้และร้านค้าทั่วไปในทุกจังหวัด ยกเว้นเพียงจังหวัดตามทะเบียนบ้านของตน ซึ่งการใช้จ่ายในร้านชิมช้อปใช้จะได้รับเงินคืนร้อยละ 15 ของยอดใช้จ่ายจริง แต่รวมแล้วไม่เกิน 4,500 บาท (ยอดใช้จ่ายสูงสุด 30,000 บาท) โดยจะได้รับเงินคืนเข้าแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ภายในเดือนธันวาคม 2562

สำหรับขั้นตอนการเติมเงินเข้า g-Wallet ช่อง 2 สะดวกและรวดเร็ว สามารถเติมเงินผ่านการสแกน QR Code ได้ทุกธนาคาร หรือกรอกตัวเลข g-Wallet 15 หลักผ่าน mobile banking ของธนาคารต่างๆ ได้ เช่น หากใช้ของธนาคารกรุงไทยและธนาคารทหารไทยให้เลือกเมนูโอนเงินพร้อมเพย์ (Transfer)

หากใช้ของธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา และธนาคารออมสินให้เลือกเมนูเติมเงินพร้อมเพย์ (Top up) เป็นต้น นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาขยายช่องทางการเติมเงินเพิ่มเติม เช่น ผ่านเครื่อง ATM เป็นต้น

โฆษกกระทรวงการคลังได้เน้นย้ำถึงเป้าหมายของมาตรการ “ชิมช้อปใช้” ว่า เป็นการพยุงเศรษฐกิจไทยในระยะสั้นไม่ให้ชะลอตัวลงตามเศรษฐกิจโลก ผ่านการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว โดยให้แรงจูงใจดึงผู้มีกำลังซื้อออกมาเดินทาง กระจายเม็ดเงินไปยังเศรษฐกิจฐานรากและเกิดความคึกคักในการจับจ่าย ซึ่งการใช้จ่ายงบประมาณในการสร้างแรงจูงใจจะคุ้มค่าเพราะก่อให้เกิด Multiplier Effect ในการบริโภคเอกชนซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของเศรษฐกิจไทย

ทั้งนี้ มาตรการนี้เป็นส่วนหนึ่งของชุดกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งมีการช่วยเหลือในภาคส่วนอื่น เช่น เกษตรกร ผู้มีรายได้น้อย และผู้ประกอบการ SMEs รวมทั้งภาครัฐยังคงมีการลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ ควบคู่กับการพัฒนาระบบสวัสดิการสังคมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำอย่างต่อเนื่อง

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0