โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

คริสโตเฟอร์ ไรท์: เมื่อชีวิตมี FLOW จะทำให้เราอยาก GROW ได้ด้วยตัวเอง

a day BULLETIN

อัพเดต 18 ม.ค. 2563 เวลา 11.30 น. • เผยแพร่ 18 ม.ค. 2563 เวลา 11.30 น. • a day BULLETIN
คริสโตเฟอร์ ไรท์: เมื่อชีวิตมี FLOW จะทำให้เราอยาก GROW ได้ด้วยตัวเอง

เมื่อเอ่ยชื่อ คริสโตเฟอร์ ไรท์ ภาพจำที่เด่นชัดที่สุดคือพิธีกรและคุณครูสอนภาษาอังกฤษระดับแถวหน้าของไทย แต่เมื่อเวลาผ่านไป บทบาทของเขาก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นเดียวกัน เขาบอกว่าทุกวันนี้มีโอกาสได้ทำงานหลายรูปแบบ ทั้งนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ นักแสดง ผู้จัดรายการวิทยุ และล่าสุดเขาเพิ่มบทบาทใหม่โดยเป็นพิธีกรรายการข่าว กระแสโลก ทางช่อง MONO29

        หากมองย้อนกลับไปและเปรียบเทียบกับปัจจุบันที่เป็นอยู่ ภาพจำของเขาดูเหมือนจะพร่าเลือนและเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม สารพัดคำถามที่เราอยากรู้จึงถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุย ทั้งหมดนี้คือไม่ใช่แค่คำตอบ หากแต่เป็นบทเรียนและมุมมองชีวิตที่สะท้อนตัวตนและความคิดของคริสโตเฟอร์ ไรท์ ว่าที่ผ่านมาของได้เรียนรู้อะไรบ้างจากบทบาทชีวิตที่เปลี่ยนไป

 

คริสโตเฟอร์ ไรท์
คริสโตเฟอร์ ไรท์

ค้นพบ flow (n.) จากสิ่งที่ชอบและถนัด เพื่อ grow (v.) ได้ด้วยตัวเอง

        “สมการเริ่มต้นของความสำเร็จที่เราได้ยินกันบ่อยๆ คือ Put the right man on the right job. แต่ผมคิดว่ามันสายเกินไป ต้องย้อนกลับไปเป็น Put the right kid on the right path. สนับสนุนให้เด็กเดินอยู่บนเส้นทางที่เหมาะกับตัวเขา เปิดโอกาสให้ชีวิตได้ทดลอง เราเรียกวิธีนี้ว่า self-discovery หรือการค้นหาตัวเอง เพื่อช่วยให้เด็กเจอสิ่งที่ชอบและถนัด จากนั้นค่อยผลักดันอย่างจริงจังโดยไม่คาดหวัง และไม่ตัดสินว่าเส้นทางที่เขาเลือกดีหรือไม่ดี เพราะทุกอาชีพมีความสำคัญทั้งหมด เมื่อไหร่ก็ตามที่คนคนหนึ่งค้นหาตัวเองได้ เขาก็จะเจอ flow หรือความเพลิดเพลินในการเรียนรู้และการทำงานอย่างมีความสุข ขณะเดียวกันก็ทำให้รู้สึกมีพลังสร้างสรรค์สิ่งใหม่ และสามารถทำสิ่งอื่นๆ ที่ยากหรือท้าทายต่อไปได้

        “สมัยที่ผมทำ Chris Delivery ซึ่งเป็นรายการสอนการใช้ภาษาอังกฤษผ่านเหตุการณ์จำลอง ผมก็ไม่ได้ทำหน้าที่แค่พิธีกร แต่เป็นทั้งครีเอทีฟและคนเขียนบทด้วย หลายคนก็มักจะถามผมว่าทำไหวได้ยังไง ผมคิดว่าคงเป็นสิ่งที่สั่งสมมาตั้งแต่เด็กๆ เมื่อเจอสิ่งที่ชอบและรู้ตัวว่าได้ทำแล้วมีความสุข ก็ทำให้เกิด flow มาเรื่อยๆ แต่อย่างที่ผมบอก กว่าจะเจอ flow ก็ต้องพยายามค้นหาตัวเองให้เจอก่อน ทดลองทำอะไรหลายอย่าง เรียนรู้ตลอดเวลา หมั่นพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดกับคนอื่นๆ เมื่อชีวิตมี flow ก็จะทำให้เราอยาก grow หรือโตได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องมีใครมาคอยบังคับหรือกำกับเรา

        "ถ้ามนุษย์ค้นพบภาวะ flow ของตัวเอง จะทำงานได้ดีและไหลลื่นเหมือนกระแสน้ำ เราจะมี power (n.) พลัง และ potential (n.) ศักยภาพทำสิ่งที่ชอบและถนัดซึ่งเป็น passion (n.) ของเราต่อไป ไม่ว่าจะเจอเรื่องท้าทาย challenge (n.) ขนาดไหนก็ไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหาหรือความยาก พูดเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดๆ คือในทางธรรมชาติ สิงโตย่อมไม่วิ่งแข่งกับเสือชีตาห์ แต่คนทุกวันนี้ไม่เป็นแบบนั้น คนจำนวนมากคือสิงโตที่พยายามฝึกซ้อมเจียนตายเพื่อต้องการวิ่งให้ชนะเสือชีตาห์ ทั้งๆ ที่สิงโตเก่งเรื่องล่าเหยื่อ สุดท้ายเหนื่อยเปล่า เครียด ไม่ได้อะไรสักอย่าง ผิดทิศผิดทางไปหมด เพราะมันฝืนธรรมชาติ ดังนั้น ชีวิตไม่ได้จบที่ Practice makes perfect. แต่เราต้องหาวิธีการฝึกซ้อมที่ถูกต้องด้วย เพราะการซ้อมผิดๆ ก็ไม่ได้ทำให้เราเก่งหรอก"

happy (adj.) มีความสุขช่วงสั้นๆ แต่ healthy (adj.) นั้นดีต่อใจและทำให้ชีวิตมีสมดุล

        “ถ้ามนุษย์เลือกบริโภคสิ่งที่ชอบ แต่ไม่ได้ตระหนักรู้ว่าสิ่งที่ชอบอาจจะไม่มีประโยชน์ มนุษย์ก็จะได้รับเพียงความสุข แต่ไม่ได้เติมเต็มสิ่งที่เป็นความรู้ คุณค่าทางใจ และความสำเร็จที่ยั่งยืนให้ตัวเองได้ เหมือนพฤติกรรมการใช้สมาร์ตโฟนของคนในยุคนี้ ที่มีทั้ง happy phone และ healthy phone ไม่ต่างกับ happy food และ healthy food มองเผินๆ ดูเป็นเรื่องปกติไปแล้วที่คนเราจะเลือกเสพเฉพาะสิ่งที่ happy โดยไม่ได้สนใจว่าในท้ายที่สุดมันอาจสร้างโทษให้ร่างกายและจิตใจมากกว่าประโยชน์ เพราะไลฟ์สไตล์ในปัจจุบันเป็นไปในทางที่ทำให้คนพอใจเลือกแต่สิ่งที่สร้างความสุขระยะสั้นๆ อย่างเดียว จนชีวิตของคนส่วนมากขาดสมดุลที่ดีไป

        “คำถามสำคัญที่ตามมาคือ ในฐานะสื่อ จะทำอย่างไรให้คนหันมาสนใจสิ่งที่ healthy เพราะทุกสื่อมีหน้าที่ขับเคลือนสังคมอย่างรับผิดชอบ เมื่อผมมารับหน้าที่นำเสนอข่าว ก็ต้องนำเสนอข้อเท็จจริงหรือประเด็นที่เป็นทั้งข้อคิดและความรู้อย่างรับผิดชอบด้วยเหมือนกัน เพียงแต่ผมเพิ่มความน่าสนใจให้กับข่าวที่ healthy มากๆ แต่ไม่น่าสนุกเลย โดยใช้วิธีเล่าแบบสรุปใจความสำคัญหรือเปรียบเทียบให้คนดูเห็นภาพเพื่อเข้าใจง่ายขึ้น สำคัญที่สุดคือผมจะแนะนำคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่เกี่ยวข้องกับข่าวนั้นๆ ด้วย เหมือนเวลาผมพยายามหัดให้ลูกกินผัก ก็ต้องเปลี่ยนผักใบเขียวที่ไม่น่ากินให้ดูอร่อยและกินง่าย มักอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ happy ที่สุดหรอก แต่อย่างน้อยเราก็ได้เติมเต็มสิ่งที่ healthy ให้ตัวเอง”

ความจริงของ real news (n.) ที่เชื่อถือได้ กับอันตรายของ fake news (n.) ที่ต้องรู้ให้เท่าทัน

        “นี่คือยุคสมัยที่เต็มไปด้วยข้อมูลและข่าว แต่กลับไม่ค่อยมีมาตรฐานกลางที่ดีพอเพื่อคอยคัดกรองข้อมูล โดยเฉพาะสื่อสังคมออนไลน์กำลังเป็นดาบสองคม คือทำให้เรารับข่าวสารได้เร็วขึ้น แต่อีกด้านหนึ่งก็ถูกใช้สร้างกระแสเป็นข่าวลือและ fake news หรือข่าวปลอมเพื่อทำให้คนในสังคมมีความเข้าใจผิดๆ ผมสังเกตเห็นว่าทุกวันนี้คนเชื่ออะไรง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก หากเสพ incomplete information (n.) ข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ และ incorrect information (n.) ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องมากๆ เข้า จะเกิดเป็น ingrown information (n.) ข้อมูลที่ปั่นป่วนอยู่ในหัวโดยไม่สร้างประโยชน์ใดๆ ให้ใครและสังคม

        “สำนักข่าวหรือรายการข่าวที่ผลิต real news หรือข่าวสารที่เชื่อถือได้ ก็ต้องหาทางสู่รบปรบมือกับ fake news และ yellow news (n.) เป็นคำสแลงหมายถึงข่าวโคมลอย ซึ่งมีอยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์อย่างอิสระ เพราะการได้รับข้อมูลผิดๆ จะทำให้เกิดความเชื่อที่ผิด แล้วนำไปสู่การใช้ชีวิตอย่างผิดๆ เหมือนกับเด็กคนหนึ่งตั้งใจไปรอชมดวงอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดในโลก แต่ถูกหลอกให้เดินไปทางทิศตะวันออก การได้รับข่าวปลอมก็เหมือนกัน หากไม่รู้เท่าทัน มันไม่ได้แค่ทำให้รู้สึกว่าเสียเวลาชีวิต แต่ความคิดความอ่านของเราจะเปลี่ยนแปลงไปตามที่ข่าวปลอมนั้นต้องการหาผลประโยชน์ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายและน่าเป็นห่วง ดังนั้น คนที่ทำงานด้านสื่อสารมวลชนทุกคนต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อนำเสนอข่าวอย่างเป็นกลางและไม่ชี้นำคนดู จากข้อมูลจริงที่ถูกต้อง ชัดเจน สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาได้”

 

คริสโตเฟอร์ ไรท์
คริสโตเฟอร์ ไรท์

วางตัวเป็นกลาง neutral (adj.) ไม่เลือกข้างสร้าง hate speech (n.)

        "ทุกคนต่างมีความคิด ความเชื่อของตัวเอง แต่เมื่อทำหน้าที่อ่านข่าวก็ต้องแยกแยะระหว่างข้อเท็จจริงและความคิดเห็น ส่วนไหนคือเนื้อข่าว ส่วนไหนเป็นทัศนะของเรา ต้องบอกคนดูให้ชัดเจน อย่างปีที่แล้วผมโดนด่าเยอะมาก เพราะแสดงความคิดเห็นเรื่องการสื่อสารภาษาอังกฤษของนายกฯ ในที่ประชุมผู้นำอาเซียน ผมบอกว่านายกฯ สื่อสารภาษาอังกฤษไม่ได้เลยแม้จะเป็นประโยคง่ายๆ แต่ถ้ามองให้ลึกในฐานะที่ผมเป็นครูสอนภาษาอังกฤษมาไม่ต่ำกว่า 20 ปี ผมเห็นคนไทยระดับผู้นำ ผู้บริหารเยอะมากที่พูดไม่ได้เหมือนกัน ดังนั้น แทนที่จะไปโจมตีนายกฯ เราควรทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้คนไทยพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ไม่ดีกว่าเหรอ แล้วพยายามแก้ไขตรงจุดนั้น คือผมไม่ได้สนับสนุนหรือเห็นดีเห็นงามกับนายกฯ คนปัจจุบัน เพียงแค่ชี้ให้เห็นต้นตอปัญหาเฉยๆ แต่พอคนที่ไม่ชอบนายกฯ ได้ยินก็ไม่พอใจ ดังนั้น การเป็นพิธีกรข่าวจึงต้องระมัดระวังทั้งคำพูดและการแสดงความคิดเห็นไม่ให้ไปกระตุ้นความรู้สึกของคนดูจนเกิดเป็น hate speech หรือคำพูดที่จะสร้างความเกลียดชังและความแตกแยกในสังคม

        "ความยากและท้าทายอย่างมากของการรายงานข่าวสำหรับผมจึงเป็นเรื่องการทำงานบนความคาดหวังของคนว่าจะต้องวางตัวเป็นกลาง I am neutral. เพราะปัจจุบันแต่ละข่าวสามารถมองได้หลายมุมมองมาก หน้าที่ของเราจึงค้นลงไปถึงที่มาของ truth (n.) ว่าอะไรคือความจริง โดยไม่ take side (v.) หรือเลือกข้าง"

เป็นมนุษย์ future thinking (n.) วางแผนเตรียมพร้อมรับมือความเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ในชีวิต

        "สี่ห้าปีที่ผ่านมาผมเจอมรสุมที่หนักหนามากในชีวิต รายการโทรทัศน์ที่ทำอยู่ถูกถอดออกจากผัง โรงเรียนสอนภาษาก็ต้องปิดตัวไป รายได้ที่เคยมีเข้ามาเริ่มหดหาย ผมได้ออกสื่อน้อยลงมาก ไม่ดังเหมือนเมื่อก่อน ประจวบกับลูกชายคนเล็กป่วยเพราะคลอดก่อนกำหนด ส่วนคุณพ่อก็ป่วยเป็นมะเร็ง ต้องผ่าตัดและรักษาตัว มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมาเป็นล้านๆ ความเปลี่ยนแปลงทำให้ผมต้องดิ้นรนมองหาโอกาสทำงานใหม่ๆ และปรับตัวเองให้เป็นมนุษย์ future thinking คิดเผื่อไปยังอนาคต ไม่ได้คิดถึงแค่วันนี้หรือตอนนี้เท่านั้น เหมือนคติสอนใจที่ว่า ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ก็ดีนะครับ แต่ผมขอถามต่อไปอีกหน่อยว่า พรุ่งนี้ สัปดาห์หน้า เดือนหน้า หรือปีหน้า เราตอบตัวเองกันได้ไหมว่าจะทำอะไร ถ้าตอบไม่ได้ เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องของอนาคต แบบนี้คือคนหาเช้ากินค่ำแล้ว หากชีวิตมีจุดพลิกผันครั้งใหญ่ แล้วไม่ได้วางแผนสำรองไว้ล่วงหน้าจะลำบากมาก

        "บทเรียนที่ผมได้เรียนรู้จากความเปลี่ยนแปลงในชีวิตคือการเตรียมตัวให้พร้อมเสมอ มีหลักง่ายๆ คือ 5Ps คำแรกคือ Predict คนที่จะประสบความสำเร็จได้จะต้องเป็นคนที่คาดการณ์หรือพยากรณ์ได้ อย่างน้อยก็ต้องเห็นเทรนด์บางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปข้างหน้า สองคือ Prefer จะต้องหาให้เจอว่าเราชอบทำอะไร และดูช่องทางหรือโอกาสที่จะทำให้ความถนัดเป็นส่วนหนึ่งของงานและต่อยอดชีวิตเราไป สามคือ Prepare เตรียมตัวเตรียมพร้อมรับมือกับความไม่ยั่งยืนหรือการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นกับเราได้ตลอดเวลา ไม่ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย และไม่มีการวางแผน สี่คือ Present เมื่อเราเตรียมตัวทุกอย่างดีแล้ว พูดง่ายๆ คือมีของพร้อมใช้ เราต้องรู้จักนำเสนอตัวเอง ใช้ความรู้ความสามารถให้เหมาะสมกับสถานการณ์ และสุดท้ายคือ Prevent เรียนรู้สิ่งที่เคยเกิดขึ้นในชีวิต เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้นอีกในอนาคต ถ้าเป็นสิ่งที่ป้องกันไม่ให้เกิดไม่ได้ก็ต้องมีวิธีที่ดีสำหรับรับมือเหตุการณ์นั้นให้ได้

        "แล้วการจะก้าวข้ามอุปสรรคใดๆ ก็ตาม ต้องอาศัย courage (n.) หรือความกล้าอย่างมาก เมื่อชีวิตตกลงเราต้องเป็น fighter (n.) หรือนักสู้เพื่อกอบกู้ชีวิตตัวเอง ห้ามยอมแพ้ และอย่างหลงลืมใส่ความสนุกลงไปในชีวิตด้วย เราอาจจะต้องลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ เพื่อพาชีวิตให้ผ่านช่วงที่ยากลำบากไปให้ได้ อย่างตัวผมผ่านอะไรมาก็เยอะ ทำอะไรได้ก็ทำ ทั้งเป็นคนเบื้องหน้า เบื้องหลัง ทำธุรกิจ และขายของ ลองสิ่งใหม่ๆ เพราะถ้าเราไม่ทำอะไรเลย เราอาจกลายเป็นคนที่ข้างในตายไปแล้ว"

อยากโตไม่อยากตาย จงหมั่นขยันเติม knowledge (n.) และ skills (n.) ให้ตัวเองอยู่เสมอ

        “ผมทำงานเกี่ยวกับการสอนภาษาอังกฤษมานาน อยู่มาทุกยุค (หัวเราะ) ตอนนี้วงการสอนภาษาอังกฤษเปลี่ยนไปมาก เมื่อก่อนคนต้องมาลงเรียนพิเศษกับอาจารย์ชื่อดังตามสถาบันต่างๆ เท่านั้น แต่ตอนนี้มีแค่อินเทอร์เน็ตก็สามารถเรียนภาษาอังกฤษกับเจ้าของภาษาได้โดยตรง ไม่ต้องมาจ่ายเงินเรียนเป็นคอร์สเหมือนสมัยก่อนแล้ว ทั้งหมดนี้เกิดจากพายุเทคโนโลยี ซึ่งเป็นเทรนด์ที่กำลังเปลี่ยนโลกและเข้ามา Disrupt หรือรบกวนชีวิตเราทุกคน ทำให้คนจำนวนมากถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักร รถไม่จำเป็นต้องมีคนขับ โรงงานไม่ต้องพึ่งพาคนผลิตอีกต่อไป เราในฐานะมนุษย์ที่กำลังได้รับผลกระทบจะทำอย่างไรกันดี

        "ชาลส์ ดาร์วิน นักวิทยาศาสตร์ผู้ให้กำเนิดทฤษฎีวิวัฒนาการเคยบอกไว้ว่า สัตว์ที่จะอยู่รอดต่อไปได้ ไม่ใช่สัตว์ที่แข็งแรงหรือฉลาดที่สุด แต่เป็นสัตว์ที่สามารถปรับตัวได้เยอะที่สุดต่างหาก หมายความว่าอย่ามั่นใจแต่ความเก่งกาจของตัวเอง เราต้องหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆ ตัวด้วยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นบาง เพราะการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตลอดเวลาอยู่แล้ว ทั้งความเปลี่ยนแปลงในภาพเล็กคือในชีวิตเรา และในภาพใหญ่คือการเปลี่ยนแปลงของโลก เราจึงต้องสร้างนิสัยให้ตัวเองเป็นคนช่างสังเกตและช่างสังสัย เพื่อความอยู่รอดในวันข้างหน้า

        “ผมได้แต่บอกคนอื่นตลอดว่า มนุษย์เราไม่โตก็ตาย ไม่มีคำว่าหยุดนิ่ง แต่ลืมบอกตัวเอง ผมหยุดอยู่กับรายการโทรทัศน์และโรงเรียนสอนภาษา โดยไม่สนใจทีวีดิจิตอล อินเทอร์เน็ต และโซเชียลมีเดียที่กำลังเป็นกระแสใหม่ในตอนนั้น สุดท้ายผมก็ตกกระป๋องไม่ต่างกับตาย มีครูสอนภาษาอังกฤษใหม่ๆ ขึ้นมาแทนเพราะเขารู้จักใช้โซเชียลมีเดีย แต่ละคนมียอดฟอลโลเวอร์เยอะกว่าผมมาก เพราะผมลืมโตไปกับโลก พอรู้ตัวอีกทีก็ต้องพยายามหนักกว่าคนอื่นๆ ที่เขาเริ่มกันไปนานแล้ว ชีวิตก็เหมือนลูกบาส มีขึ้น มีลง แต่ถ้าจะให้ขึ้นได้สูงเราต้องเพิ่มความแข็งให้ลูกบาส หมั่นขยันเติม knowledge หรือความรู้ และ skills หรือทักษะใหม่ๆ ให้ตัวเอง"

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0