รมว.คลัง อุตตม สาวนายน เผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเร่งด่วนตามที่คลังเสนอวงเงิน 3.16 แสนล้านบาท ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้เพิ่ม 0.5-0.6% ซึ่งมาตรการกระตุ้นมีความจำเป็น เพราะเศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะชะลอตัวมาก
สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบ่งเป็น 3 ส่วน ตามที่ ครม.เศรษฐกิจเห็นชอบก่อนหน้านี้
มาตรการส่วนที่ 1 มาตรการแจกเงินเพิ่มให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการ 14.5 ล้านคน เดือนละ 500 บาท จำนวน 2 เดือน เริ่มจ่ายเงินเดือน ส.ค. และ ก.ย. นี้ โดยคนที่ถือบัตรและสูงอายุจะได้เพิ่มอีกเดือนละ 500 บาท ขณะที่คนที่มีบุตรจะได้เพิ่มอีกเดือนละ 300 บาท
มาตรการส่วนที่ 2 มาตรการกระตุ้นใช้จ่ายท่องเที่ยว ก็จะมีการแจกเงินผ่านแอปคนละ 1,000 บาท ให้กับผู้มาลงทะเบียนจำนวน 10 ล้านคน ใครมาลงก่อนได้ก่อน นำไปใช้จ่ายท่องเที่ยว กินร้านอาหาร ร้านค้าท้องถิ่น และโรงแรมที่พัก ที่เข้าร่วมโครงการได้ทั่วประเทศ ยกเว้นจังหวัดที่ตัวเองอยู่เท่านั้น โดยมาตรการจะมีระยะเวลา 3 เดือน เริ่มตั้งแต่เดือน ก.ย.-พ.ย. 2562 นี้
สำหรับผู้ที่ได้สิทธิเงินท่องเที่ยว 1,000 บาท ยังสามารถเติมเงินผ่านแอปเพื่อใช้จ่ายท่องเที่ยวได้อีกไม่เกิน 3 หมื่นบาท โดยรัฐบาลจะจ่ายเงินคืนให้ 15% หรือ สูงสุด 4,500 บาท เพราะต้องการให้เกิดการกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศให้มากที่สุด
โดยคลังจะประสานกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อทำการประชาสัมพันธ์มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเข้มข้น
โดยในสัปดาห์หน้าจะให้ธนาคารกรุงไทย สาธิตการใช้แอปที่จะมาลงทะเบียนและรับเงินท่องเที่ยว 1,000 บาท เพื่อให้ประชาชนทั่วประเทศและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้าใจมากที่สุด
นอกจากนี้กระทรวงการต่างประเทศยังขยายเวลาฟรีวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวต่างประเทศ 18 ประเทศ ที่ได้รับการยกเว้นอยู่แล้วถึงเดือน ต.ค. นี้ ไปจนถึงเดือนเดือน เม.ย. 2563 ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศอีกทางหนึ่ง
ทั้งนี้มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว หากนับรวมเงินที่แจก และเงินที่จะให้คืนหากใช่เต็มวงเงิน 3 หมื่นบาท จะได้เงินจากรัฐรวมกันถึง 5,500 บาท ซึ่งในส่วนของเงินที่เติมให้ 1,000 บาทแรก กำลังพิจารณาให้จ่ายค่าน้ำมันรถยนต์ได้ด้วย เพื่อต้องการให้ดึงคนออกจากบ้านไปเที่ยวต่างจังหวัด
สำหรับมาตรการส่วนที่ 3 เป็นมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง และการปล่อยสินเชื่อของธนาคารัฐ ทั้ง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน และ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) วงเงินรวม 2 แสนล้านบาท
ซึ่งได้มีการเริ่มดำเนินการได้ทันในทันที