โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

บันเทิง

ครบรอบ 20 ปี ‘The Marshall Mathers LP’ อัลบั้มแร็ปสุดอื้อฉาวที่ขายดีที่สุดตลอดกาลจาก EMINEM

Beartai.com

อัพเดต 01 มิ.ย. 2563 เวลา 03.23 น. • เผยแพร่ 31 พ.ค. 2563 เวลา 10.48 น.
ครบรอบ 20 ปี ‘The Marshall Mathers LP’ อัลบั้มแร็ปสุดอื้อฉาวที่ขายดีที่สุดตลอดกาลจาก EMINEM
ครบรอบ 20 ปี ‘The Marshall Mathers LP’ อัลบั้มแร็ปสุดอื้อฉาวที่ขายดีที่สุดตลอดกาลจาก EMINEM

เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา ถือเป็นวันครบรอบ 20 ปีอัลบั้ม ‘The Marshall Mathers LP’ จากแร็ปเปอร์สายเดือด Eminem ซึ่งเป็นอัลบั้มแรกที่ฉุดเขาออกมาจากความเป็นแรปเปอร์โนเนมและกลายเป็นแรปเปอร์ยอดนิยมเจ้าของอัลบั้มแร็ปที่ขายดีที่สุดตลอดกาล ในแง่มุมหนึ่งมันได้สร้างเกียรติยศให้กับเขาแต่ในขณะเดียวกันมันก็ได้สร้างความประณามหยามเหยียดให้กับเขาด้วยเช่นกันจากงานเพลงอันเถื่อนถ่อยและสร้างความจงเกลียดจงชังให้กับคนเค้าไปทั่ว

ปกอัลบั้ม ‘The Marshall Mathers LP’
ปกอัลบั้ม ‘The Marshall Mathers LP’

‘The Marshall Mathers LP’ เป็นอัลบั้มเต็มชุดที่สามของ Eminem ซึ่งนอกจากจะเป็นอัลบั้มแร็ปที่ขายดีที่สุดตลอดกาลแล้ว ยังเป็นอัลบั้มแร็ปที่ขายเร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมา ด้วยยอดขาย 1.76 ล้านก็อปปี้ในสัปดาห์แรกที่เปิดตัว

หลังจากผิดหวังกับอัลบั้มแรก Infinite (1996) Eminem ได้กลับมาอีกครั้งกับอัลบั้ม‘The Slim Shady LP’(1991) พร้อมตัวละคร Slim Shady ซึ่ง Eminem สร้างขึ้นเพื่อทำหน้าที่เป็น alter ego ในการถ่ายทอดความคิดจิตใจของเขา Eminem เริ่มค้นพบหนทางที่จะถ่ายทอดตัวตนผ่านผลงาน ดังนั้นอัลบั้มชุดที่สามนี้จึงเสมือนเป็นการสานต่อสิ่งที่เขาได้เริ่มไว้ ด้วยการตั้งชื่ออัลบั้มจากชื่อจริงของเขา (Marshall Bruce Mathers III) และเป็นอัลบั้มที่มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น และเป็นครั้งแรกที่เขาต้องรับมือกับชื่อเสียง (และชื่อเสีย) ทั้งคำชื่นชมและก่นด่า

การใช้ชีวิตในฐานะบุคคลสาธารณะทำให้ Eminem มีเนื้อหามากมายที่จะถ่ายทอดผ่านการแร็ปอันดุเดือด ในเพลง“Stan” (ที่ได้นักร้องสาว Dido มาฟีเจอริ่งด้วย) เขาพูดผ่านเสียงของแฟนคลับคนหนึ่งที่คลั่งไคล้ใหลหลงและมองเขาเป็นไอดอล ใน “The Way I Am”เขาแสดงความกระอักกระอ่วนใจในชื่อเสียงของเขา “I’m so sick and tired of being admired / That I wish that I would just die or get fired”

Slim Shady ก็กลับมาปรากฏตัวขึ้นในอัลบั้มนี้เช่นกัน แสดงความกราดเกรี้ยวต่อคริสตีนา อากีเลรา, วง NSync และใครก็ตามที่อยู่ในท่อนร้องอันร้อนเป็นไฟของเขาใน “The Real Slim Shady” นอกจากนี้ยังมีเพลงที่ตั้งชื่อตามอดีตภรรยาของเขา “Kim” อีกด้วย แต่ว่ามันไม่ใช่เพลงรักนะ ตรงกันข้ามเขาแร็ปเกี่ยวกับการโต้เถียงกันและลงท้ายด้วยการฆ่าเธอซะ !

เชื่อว่ามีหลายคนที่รู้สึกอินกับอัลบั้มนี้ หรืออย่างน้อยก็พบว่ามันสาแก่ใจพอที่จะเสียเงินให้กับมัน เลยทำให้ยอดขายสัปดาห์แรกพุ่งทะยาน และหลังจากเดือนกว่าก็ปาไป 6 ล้านก็อปปี้ในสหรัฐอเมริกา และทำให้มันกลายเป็นอัลบั้มแร็ปที่ขายดีที่สุดตลอดกาลในอเมริกาด้วยยอดขายรวมทั้งหมด 10.6 ล้านก็อปปี้ (หากไม่นับอัลบั้มคู่  Speakerboxxx / The Love Below ของOutKast ที่มียอดขายรวมกัน 11.4 ล้านก็อปปี้)

แต่ในขณะที่อัลบั้มได้รับความนิยมอย่างบ้าคลั่งมันก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงด้วยเช่นกัน อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ที่ไร้แววสำนึกและอารมณ์ขันอันบูดเบี้ยวของ Eminem ทำให้ดูเหมือนกับว่าเขากำลังแยกตัวเองออกจากตัวละคร Slim Shady ของเขาไม่ออก เขาย่ำเหยียบอยู่บนเส้นแบ่งแห่งความห่ามนี้ตลอดทั้ง 18 บทเพลง สาดกระหน่ำความก้าวร้าวอย่างไม่เกรงกลัวและไม่ปล่อยให้ใครหลุดรอดไปจากถ้อยคำที่เป็นเสมือนห่ากระสุนที่เขากราดยิงออกมา

พอมองย้อนกลับไปในวันนั้นด้วยสายตาของในวันนี้ วันที่ทุกคนโอบรัดความแตกต่าง ทำความเข้าใจและเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน งานเพลงของ Eminem นั้นดูหยาบต่ำและเถื่อนถ่อยไปเลย เขาล้อนักแสดงพิการในเพลง‘Who Knew’ ด่าว่าผู้หญิงว่าสำหรับเขาแล้วเธอไม่มีค่าอันใดนอกจากเป็นอีตัว (“nothing but a slut to me”) ในเพลง ‘Kill You’ (ซึ่งดูเหมือนว่าผู้หญิงที่เขาด่าในเพลงจะหมายถึงภรรยาและแม่ของเขาซะด้วย) หรือใน ‘The Real Slim Shady’ ที่เขาล้อวงบอยแบนด์ชื่อดังในยุคนั้นอย่าง NSync และอ้างว่า คริสตีนา อากีเลรา ทำให้เขาติดเชื้อ VD หรือกามโรค

นอกจากนี้ยังมีเพลงที่ล้อเลียนเกย์และด่าว่าพวกนักวิจารณ์ใน ‘Bitch Please II’ บทเพลงภาคต่อจากงานของ Snoop Dogg ในอัลบั้ม No Limit Top Dogg และในเพลง ‘I’m Back’ เขาก็เปลี่ยนบทบาทให้ฆาตกรจากเหตุการณ์สังหารหมู่ในโรงเรียนโคลัมไบน์ไฮสคูลกลายเป็นเหยื่อที่แท้จริงแทน นอกจากนี้ยังมีเนื้อเพลงที่สุดอื้อฉาวคาวระดับโลกที่พาดพิงคนอื่นไปทั่วรวมถึงแม่ของเขาเอง

คงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไม ‘The Marshall Mathers LP’ ถึงเป็นอัลบั้มที่มีเสียงแตกแยกมากที่สุดในวงการดนตรี และไม่มีข้อปฏิเสธใดเลยว่าเนื้อหาของเพลงได้สร้างความเจ็บปวดให้กับใครหลายคนและบุคคลหลายกลุ่ม แต่ในมุมของ Eminem แล้วมันเปรียบเสมือนยากล่อมประสาทชั้นดีที่เยียวยาจิตใจอันปวดร้าวของเด็กหนุ่มวัย 17 ที่ต้องทนอยู่กับแม่ขี้เหล้าและพ่อที่ชอบใช้ความรุนแรงที่เฉดหัวเขาออกมาจากบ้าน

อัลบั้มนี้เหมือนเป็นข้ออ้างให้ Eminem กรีดร้องออกมาจากก้นบึ้งของจิตวิญญาณอันปวดร้าวของเขา เช่นในเพลง ‘Kim’ หนึ่งในเพลงที่โด่งดังและฉาวโฉ่ที่สุดของอัลบั้มนี้ ที่ Eminem สังหารอดีตภรรยาผ่านถ้อยคำและบทเพลง โดยมีแบ็กกราวด์เป็นแซมเปิลจากเพลง‘When The Levee Breaks’ ของ Led Zeppelin สำหรับเขาแล้วมันคือทางระบายออกของความรู้สึกอันอัดอั้นอยู่ในใจของเขา เป็นการปลดเปลื้องความคุ้มคลั่งจากข้างในที่กำลังจะปะทุออกมา ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะฆ่าเธอจริง ๆ ก็ได้ เพลงนี้เปิดด้วยอารมณ์ที่ละมุนจากฉากที่ Eminem เข้าไปหาลูกสาวที่หลับใหลและเฝ้ามองเธอด้วยความรักจากหัวใจ ก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นความคลั่งแค้นเมื่อภรรยาของเขาปรากฏตัวออกมา อารมณ์เปลี่ยนฉับพลันทันใดแบบทำให้ตกใจเลย จากนั้นเขาก็กระหน่ำความเดือดสุดขั้วพีคไปจนจบเพลง

และในบทเพลงที่เราน่าจะคุ้นหูที่สุดจากอัลบั้มนี้ (เพราะใช้แซมเปิลจากเพลงดัง “Thank You” ของ Dido ด้วย) นั่นก็คือ ‘Stan’ Eminem ได้ถ่ายทอดความเชื่อมโยงกันระหว่างเขากับแฟนคลับผู้คลั่งไคล้ซึ่งมองเขาเป็นไอดอลเพราะมีอะไรหลายอย่างที่คล้ายกัน มีประสบการณ์ปวดร้าวที่คล้ายกัน แฟนคลับผู้คลั่งไคล้ได้เขียนจดหมายฉบับแล้วฉบับเล่าเพื่อให้ไอดอลของเขาตอบกลับมา แต่ไอดอลหนุ่มก็ไม่ตอบกลับมาเสียทีจนจดหมายฉบับสุดท้ายได้เกิดขึ้นพร้อมคำลาที่น่าเศร้า ก่อนที่ในท่อนสุดท้ายจะกลายเป็นฝั่งของ Eminem ที่กำลังเขียนจดหมายหาแฟนคลับคนนี้ก่อนจะพบว่ามันสายไปเสียแล้ว เสน่ห์ของบทเพลงนี้อยู่ที่การเล่าเรื่องผ่านสองมุมมอง หนึ่งคือ ‘Stan’ แฟนคลับผู้คลั่งไคล้ (ที่บ้าคลั่งในท้ายที่สุด) กับอีกมุมหนึ่งคือมุมของ ‘Slim’ หรือ Eminem ผู้เป็นไอดอลของชายผู้ปวดร้าว เพลงแซมเปิลของ Dido ได้ทำหน้าที่เชื่อมโยงจดหมายแต่ละฉบับเข้าด้วยกันอย่างสวยงาม เนื้อร้องของเพลงที่พูดถึงรูปภาพบนผนังอันเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้จ้องมอง ถูกใช้แทนภาพแห่งความหวังในความเป็นไอดอลของ Eminem ที่มีต่อแฟนคลับของเขา บทเพลงนี้ได้กลายเป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรม จนคำว่า ‘Stan’ ถูกเพิ่มใน Oxford Dictionary ในปี 2017 อันสามารถเป็นได้ทั้งคำนามและคำกริยาที่มีความหมายว่า “แฟนคลับที่กระตือรือร้นและทุ่มเทอย่างมาก (หรือมากเกินไป)” นั่นเอง

ขณะที่หลายส่วนของบทเพลงต่างพุ่งเป้า (โจมตี) ไปที่ พอปสตาร์ นักแสดง นักการเมือง และ สมาชิกในครอบครัวของเขา แต่ในแง่หนึ่งบทเพลงเหล่านี้ก็เป็นเสมือน ‘ที่พักพิง’ สำหรับคนที่ปวดร้าว (เฉกเช่นเดียวกับแฟนคลับในเพลง ‘Stan’) ความโกรธเกรี้ยวและขุ่นเคืองของ Eminem ถูกกรั่นกรองจากประสบการณ์ในวัยเด็กที่มีปัญหา ถ่ายทอดออกมาผ่านบทเพลงของเขาได้อย่างลึกซึ้ง สุ้มเสียงและถ้อยคำเหล่านี้ได้กระทบเข้าไปที่ใจของกลุ่มคนฟังอันมีประสบการณ์ที่ปวดร้าวเฉกเช่นเดียวกัน และมันได้บอกกับใจของเขาเหล่านี้ว่า พวกเขาไม่ใช่คนที่ต้องทุกข์ทรมานเพียงลำพัง นี่คือเหตุผลที่หลายคนยังคงมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับอัลบั้ม ‘The Marshall Mathers LP’ มาจนถึงทุกวันนี้

การเกิดขึ้นของอัลบั้ม‘The Marshall Mathers LP’ อาจทำให้ Eminem มีศัตรูนับไม่ถ้วน แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เป็นดั่งฮีโรของผู้ที่มีชีวิตผุพังและหัวใจอันบอบช้ำ เป็นดั่งความหวังที่จะพาพวกเขาออกไปจากโลกอันต่ำตมและหม่นมืด ออกไปพบแสงสว่างและหนทางของตนเอง

ไม่ว่าใครจะรักหรือเกลียดเขาแค่ไหน แต่ความจริงที่ว่าเรายังคงพูดถึงผลงานชิ้นนี้ของเขาแม้เวลาจะผ่านไป 20 ปีแล้ว คงเป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีถึงคุณค่าของงานเพลงในอัลบั้มนี้

Source

Songfacts

NME

Liveabout

Boombox

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส

ครบรอบ 20 ปี ‘The Marshall Mathers LP’ อัลบั้มแร็ปสุดอื้อฉาวที่ขายดีที่สุดตลอดกาลจาก EMINEM
ครบรอบ 20 ปี ‘The Marshall Mathers LP’ อัลบั้มแร็ปสุดอื้อฉาวที่ขายดีที่สุดตลอดกาลจาก EMINEM
ครบรอบ 20 ปี ‘The Marshall Mathers LP’ อัลบั้มแร็ปสุดอื้อฉาวที่ขายดีที่สุดตลอดกาลจาก EMINEM
0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0