โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

คนไทยตื่นตัวเรื่องขยะพลาสติก 18% มากเป็นอันดับ 1 ของโลก

BLT BANGKOK

เผยแพร่ 02 มี.ค. 2563 เวลา 04.03 น. • BLT Bangkok

ผลสำรวจชี้ คนไทยตื่นตัวเรื่องขยะพลาสติกมากที่สุดในโลก เป็นผลจากการรับรู้เรื่องผลกระทบจากการกระทำของมนุษย์ ที่มีต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นการตายของ ‘มาเรียม’ พะยูนที่เสียชีวิตจากพลาสติกขนาดเล็กที่อุดตันในลำไส้, ฝุ่น PM2.5 ที่เราเผชิญกันอยู่ในขณะนี้ และ ‘ขยะพลาสติก’ ที่ถือเป็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญอย่างยิ่ง

ปัญหาสิ่งแวดล้อม เรื่องใหญ่ของคนไทย

ไทยยังคงเป็นอันดับ 6 ของโลก สำหรับประเทศที่มีขยะพลาสติกสะสมมากที่สุด ซึ่งภาครัฐเองได้ออกมาตรการ“โรดแมพจัดการขยะพลาสติกปี 2018” โดยเริ่มจากการขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการจนเกิดโครงการ “Everyday Say No to Plastic Bag” โดยร้านค้าปลีกกว่า 70 รายทั่วประเทศงดแจกถุงแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ตั้งแต่ 1 มกราคม 2563

จากผลการสำรวจของ Kantar (คันทาร์) ผู้นำด้านข้อมูลเชิงลึกและที่ปรึกษาการตลาดระดับโลก พบว่า ขยะพลาสติก เป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่คนไทยตระหนักมากที่สุดเป็นอันดับ 1 สูงถึง 18% มากกว่าค่าเฉลี่ยจากผลสำรวจประชากรทั่วโลกซึ่งอยู่ที่ 15% ของผู้คนทั้งหมด

โดย 63% ของคนไทยมองว่าขยะพลาสติกเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมหลักติด 5 อันดับแรก ซึ่ง 1 ใน 3 ของคนไทยเชื่อว่าคนที่ควรรับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกคือ ‘ตัวเราเอง’ แสดงให้เห็นว่า คน ไทยตระหนักถึงปัญหาพลาสติกและ อยากที่จะออกมาร่วมกันช่วยแก้ไขปัญหานี้ ซึ่งนับเป็นสัญญาณดีในการเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงโลก

Eco-Doer เทรนด์ใหม่ของสายอีโค่

จากผลการสำรวจของ Kantar พบว่า ประเทศไทยมีคนอยู่ 12% ที่เป็น “Eco-Doer” คือ คนที่ลงมือลดขยะพลาสติกผ่านการพกถุงผ้า ขวดน้ำรีฟิล หรืองดรับช้อนส้อมพลาสติกจากร้านค้า

อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจชี้ว่า คนกลุ่ม Eco-Doer ยังคงซื้อสินค้าที่มีบรรจุภัณฑ์พลาสติกอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงยังอยู่ในระดับเบื้องต้นและยังไม่มากพอที่จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงการซื้อสินค้าในชีวิตประจำวัน ซึ่งถือเป็นโจทย์ยากสำหรับภาครัฐ รวมไปถึงผู้ประกอบการที่จะต้องทำความเข้าใจถึง “Green gap” ช่องว่างสีเขียวระหว่างความเชื่อมั่นและการกระทำ ว่าจะทำอย่างไรให้มีการแก้ไขอย่างจริงจัง และในฐานะผู้บริโภคต้องมีความพร้อมในการเลือกใช้แต่ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนช่วยในการลดขยะพลาสติก การเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มจากทุกคนและทุกภาคส่วน

นอกจากนี้ยังพบว่า 35% มองว่า “ผู้ผลิต” เป็นส่วนสำคัญในการแก้ไขปัญหาขยะพลาสติก โดยการลดปริมาณพลาสติกหรือเปลี่ยนวัสดุในบรรจุภัณฑ์เป็นสิ่งที่คาดหวังให้ผู้ผลิต   ทำ และผนวกไปกับความรับผิดชอบของผู้บริโภคเอง

โดยสิ่งที่ผู้บริโภคคนไทยคาดหวังจากผู้ผลิตมากที่สุดคือ การได้รับความช่วยเหลือในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานของการแยกขยะ กำจัดขยะผ่านโครงการ CSR เช่น พื้นที่แยกขยะที่เข้าถึงง่ายและการให้ความรู้ที่ถูกต้อง ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการสามารถทำได้ต่อเนื่อง และก้าวมาเป็นผู้สนับสนุนตามที่ผู้บริโภคต้องการอย่างแท้จริง

แยกขยะ สำคัญแค่ไหน

แม้จะเป็นที่ยอมรับว่า “การคัดแยกขยะ”  เป็นการบริหารจัดการขยะตั้งแต่ต้นทาง แต่การทำให้ขยะไร้ค่าเหล่านี้มี “มูลค่าที่จับต้องได้” ก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน โดยเฉพาะขยะพลาสติก ที่ปัจจุบันมีราคาและมีการรับซื้อเพื่อนำไปรีไซเคิลหรือนำไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้หลากหลายรูปแบบมากขึ้น

สำหรับ หมู่บ้านเอื้ออาทรรังสิตคลอง 10/2 ม.3 ต.บึงสนั่น อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี เป็นอีกหนึ่งชุมชนที่ให้ความสำคัญกับการคัดแยกขยะ โดยมีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ร่วมกันจัดตั้งธนาคารขยะให้เป็นจุดรับซื้อขยะจากคนในชุมชน อย่างไรก็ตาม แม้จะช่วยลดปริมาณขยะได้อย่างเป็นรูปธรรม แต่ยังมีพลาสติกหลายชนิด เช่น ขวด PET สีต่างๆ ซองขนม ซองกาแฟ โดยเฉพาะถุงหูหิ้ว ถุงขนมขบเคี้ยวต่างๆ ซึ่งเป็นพลาสติกที่ขายไม่ได้ราคา จากปัญหาดังกล่าวจึงเป็นที่มาของงานวิจัย “โครงการแผ่นลามิเนตจากขยะถุงพลาสติก” คือการนำขยะถุงพลาสติกมาทำเป็นแผ่นลามิเนต ที่สามารถนำไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้หลายชนิด

ผศ.วรุณศิริ จักรบุตร คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี หัวหน้าโครงการฯ เปิดเผยว่า ในช่วงแรกเป็นการศึกษาคุณสมบัติของถุงหูหิ้ว จากนั้นจึงทำการพัฒนาเครื่องอัดความร้อนที่สามารถอัดให้ถุงหูหิ้ว 2-5 ชั้น ผสานเป็นแผ่นลามิเนตเนื้อเดียวกันได้ง่ายๆ พร้อมทั้งทดสอบว่าแผ่นลามิเนตมีคุณสมบัติที่ทนต่อแรงดึงแรงฉีกมากน้อยเพียงใด เมื่อได้ผลแล้ว จึงจัดให้มีการอบรมการใช้เครื่องกับคนในชุมชนให้สามารถผลิตแผ่นลามิเมตจากถุงหูหิ้วได้เอง

ทั้งนี้จะเห็นว่าปัจจุบันคนไทยรับรู้ถึงปัญหาของขยะพลาสติกและตระหนักถึงความรับผิดชอบของตนเองที่ต้องมีส่วนร่วมในการแก้ไข แต่ในแง่ของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการซื้อสินค้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลงและยังมีอุปสรรคที่ท้าทายอยู่มากแต่ก็ถือเป็นโอกาสของภาครัฐและเอกชนที่จะแสดงศักยภาพความเป็นผู้นำให้กับผู้บริโภคที่ต้องการความร่วมมือและช่วยเหลือ ทั้งปัจจัยพื้นฐานและความรู้ในการแก้ไขปัญหา และพร้อมที่จะเปลี่ยน แปลงไปด้วยกัน 

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...