กระทรวงสาธารณสุขโดยสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศร่วมกับองค์การอนามัยโลกสำนักงานภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) และสำนักงานสถิติแห่งชาติทำการสำรวจผลการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หลังผ่อนปรนมาตรการ"ล็อกดาวน์" ระหว่างวันที่8-14 พ.ค. 2563
โดยมีผู้ตอบแบบสำรวจ19,378 รายพบว่านอกเหนือจากการใส่หน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัยซึ่งปฏิบัติตามได้91% เท่ากับช่วงล็อกดาวน์แล้วพฤติกรรมอื่นๆในการป้องกันตนเองจากโควิด-19 ของประชาชนลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติโดยการล้างมือด้วยสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ลดลงเหลือ83.4% กินร้อนช้อนตัวเองลดลงเหลือ82.3% การรักษาระยะห่าง1-2 เมตรลดลงเหลือ60.7% และการระมัดระวังไม่เอามือจับหน้าหรือจมูกปากลดลงเหลือ52.9% ทำให้ภาพรวมพฤติกรรมการป้องกันตนเองลดลงเหลือ72.5%
โดยหลังจากมีมาตรการผ่อนปรนแล้วสถานที่ที่ประชาชนเดินทางไปมากที่สุดในสัปดาห์ที่ผ่านมาคือตลาดสด/ซุปเปอร์มาร์เก็ต74% รองลงมาคือที่ทำงาน60.5% คลินิก/โรงพยาบาล/สถานพยาบาล29.1% ร้านอาหารแบบนั่งทาน21% ร้านตัดผม/เสริมสวย17.6% ศาสนสถาน11% สวนสาธารณะ6.8% สนามกีฬา3.9% ร้านตัดขนสัตว์/ร้านรับฝากสัตว์3.5% แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติโบราณสถานและพิพิธภัณฑ์3.1% และสนามกอล์ฟ2.8% ขณะที่สัดส่วนการเดินทางออกนอกจังหวัดอยู่ที่26% ส่วนมากเป็นการเดินทางไปทำงานเยี่ยมญาติ/เพื่อนฝูงและทำธุระจำเป็นต่างๆ
ขณะที่การจัดมาตรการป้องกันโควิด-19 ในทุกสถานที่เช่นจัดให้มีที่ล้างมือ/เจลแอลกอฮอล์การวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนเข้าสถานที่พนักงานทุกคนต้องสวมหน้ากากผู้ใช้บริการต้องสวมหน้ากากและการจัดระยะห่างระหว่างบุคคลในภาพรวมอยู่ที่57.6% โดยสถานที่ที่จัดมาตการป้องกันโควิด-19 ได้ดีที่สุดคือโรงพยาบาล/คลินิก/สถานพยาบาลค่าเฉลี่ยรวมทุกมาตรการอยู่ที่70.3% รองลงมาคือสถานที่ทำงาน65.2% ตลาดสด/ซุปเปอร์มาร์เก็ต57% ร้านตัดผม/เสริมสวย50.8% ร้านอาหารแบบทานนั่ง50.2%
สำหรับสถานที่ที่ค่าเฉลี่ยการจัดมาตรการป้องกันโควิด-19 ได้ต่ำกว่า50% คือศาสนสถานสนามกอล์ฟร้านตัดขนสัตว์/ร้านรับฝากสัตว์เลี้ยงสวนสาธารณะสนามกีฬาและแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติโบราณสถานและพิพิธภัณฑ์