โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

คนมองเห็นอนาคต - วินทร์ เลียววาริณ

THINK TODAY

เผยแพร่ 10 มิ.ย. 2562 เวลา 10.29 น.

โลกไม่เคยขาดแคลน ‘นอสตราดามุส’

เรามีหมอดูชาวไทยผู้รู้ทุกอย่างในจักรวาล เรามีหมอดูชาวพม่าผู้มองเห็นทุกอย่างในโลก แล้วเราก็มีคุณยายชาวบัลแกเรียผู้สามารถมองเห็นอนาคตของโลกละเอียดยิบ รู้ว่าจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 เมื่อไร ยุโรปจะร้างผู้คนในปีใด มนุษย์ต่างดาวจะมาเยี่ยมเราปีไหน ฯลฯ เล่าลือกันว่าคุณยายเป็นนอสตราดามุสมาเกิดใหม่

ในโลก โชเชียล เน็ตเวิร์ก ข่าวแบบนี้เดินทางเร็วกว่าไฟป่า การส่งข่าวต่อโดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นเรื่องปกติ เราไม่เคยถามว่ามีการพิสูจน์ไหมว่าข่าวเรื่องคุณยายจริงหรือไม่ จริงกี่ส่วน เท็จกี่ส่วน ผ่านการพิสูจน์มาหรือเปล่า เราไม่คิดจะยืนยันความจริงของข่าวก่อน เราเชื่อ-เราแชร์เลยทันที 

แม้แต่สื่อหลักก็ชอบเล่นข่าวแบบนี้ แก้เขินเล็กน้อยโดยเติมข้อความว่า “โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม” เป็นยันต์กันผีเวลาเสนอเรื่อง ‘ขายได้’ ซึ่งไม่อยากตรวจสอบ!

แต่ปัญหาคือคนส่วนใหญ่ในโลกไม่มีวิจารณญาณในการรับชม เรากำลังอยู่ยุคสมัยที่ความรู้ท่วมโลก แต่คนไม่คิด ไม่ชอบหาความรู้ สนใจแต่เรื่องฉาบฉวยและอาหารสำเร็จรูปไปวันๆ

“โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม” จึงเหมือนขึ้นป้ายสีดำขนาดใหญ่กลางความมืดมิด

ทำไมข่าวแบบนี้ขายดี? อาจเพราะมันน่าตื่นเต้นได้ล่วงรู้ความลับของจักรวาล

ทว่าจำได้ไหมว่าหมอดูการเมืองของเราทายอะไรผิดบ้าง หรือว่าลืมไปหมดแล้ว?

จำได้ไหมว่าชาวอินคาทำนายว่าโลกสลายในปี 2012 เมื่อผ่านไป เราก็ลืมไปหมดแล้วว่าใครทายว่าอะไร ในเมื่อโลกไม่ได้แตกสลายในปี 2012 เราก็โยนความผิดให้กับการตีความ เราบอกว่าบันทึกชาวอินคาถูกแล้ว แต่เราเองที่ตีความผิด

จำได้ไหมว่านอสตราดามุสทำนายอะไรไว้ และไม่เกิดขึ้น แต่เราก็บอกว่าเพราะเราตีความผิดไปเอง

แปลก ไม่มีใครถามว่า ถ้าเป็นคำทำนายที่หมอดู ‘มองเห็น’ จากภาพจริง ทำไมต้องตีความอีก?

ในเมื่ออนาคตเกิดขึ้นแล้วจริง ก็ต้องมีรายละเอียดทุกจุด ยกตัวอย่างเช่น หากสงครามโลกครั้งที่ 3 เกิดขึ้นแล้วจริงในมิติเวลาใดมิติเวลาหนึ่ง เราก็ต้องมีรายละเอียดเช่นว่ามันเกิดขึ้นเมื่อเวลา 12.47 น. วันที่ 23 กันยายน 2021 ที่เกาหลีใต้ สิ้นสุดเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2022 มีคนตาย 851 ล้านคน เป็นชาวเกาหลีใต้ 42 ล้านคน เกาหลีเหนือ 38 ล้านคน ญี่ปุ่น 18 ล้านคน อเมริกัน 121 ล้านคน ฯลฯ ในกรณีนี้ทุกเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วหรือถูกกำหนดมาแล้วโดยอำนาจบางอย่าง

มันคงเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่หากมีหลักฐานเผยออกมาว่า นอสตราดามุสแต่งโคลงเล่นๆ โดยไม่เกี่ยวข้องกับคำทำนายแต่อย่างไร สมมุติว่ามันเป็นการแต่งไซไฟด้วยโคลงเป็นครั้งแรกของโลก แต่คนยุคหลังหาเรื่องตีความเป็นตุเป็นตะไปเอง

แปลว่าเรื่องของนอสตราดามุสกับคุณยายไม่จริงหรือ? รู้ได้อย่างไรว่าไม่จริง? เป็นไปได้ไหมว่าคุณยายเห็นอนาคตจริงๆ ? คุณยายจะโกหกเราทำไม? มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ใดๆ บ้างไหมที่ทำให้เรื่องนี้เป็นไปได้?

คำตอบคือยังไม่มีหลักทางวิทยาศาสตร์ใดๆ รองรับ แต่ก็ไม่มีหลักวิทยาศาสตร์ที่ค้านเช่นกัน โลกวิทยาศาสตร์ก็คล้ายศาลยุติธรรม หากไม่มีหลักฐานมัดตัวชนิดดิ้นไม่หลุด ก็จะต้องยกประโยชน์ให้จำเลย ปล่อยตัวไป แต่การปล่อยตัวไม่ได้รับรองว่าจำเลยบริสุทธิ์

……………

เช่นที่ไอน์สไตน์พูดว่า จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ นักวิทยาศาสตร์ก็นิยม ‘มโน’ เช่นกัน แต่นักวิทยาศาสตร์ต่างจากหมอดูตรงที่จินตนาการแล้วก็คำนวณ ทดลอง และหาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มารองรับ พิสูจน์แล้วพิสูจน์อีกจนสรุปความจริงได้

ถ้ายังพิสูจน์ไม่ได้ ก็โยนเข้าไปในกองนิยายวิทยาศาสตร์ก่อน

ในกรณีของคุณยายซึ่งทำนายชัดเจนโดยไม่ต้องตีความ คำทำนายหลายเรื่องก็พิสูจน์ด้วยการตรวจผลจริงๆ และทายผิดมาแล้วหลายเรื่อง เช่น ทำนายว่าจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2010 - ตุลาคม 2014

อย่างไรก็ตาม เพื่อประโยชน์ของวิวาทะทางปัญญา เราอาจลองพยายามหาทฤษฎีวิทยาศาสตร์มารองรับคำทำนายของคุณยาย ทฤษฎีที่ดีที่สุดก็ยังอยู่ในพื้นที่ของนิยายวิทยาศาสตร์ และแน่นอน ทฤษฎีเหล่านี้สนุกอย่างยิ่ง!

ทฤษฎีหนึ่งเสนอความคิดว่าจักรวาลที่เราอยู่เป็นหนึ่งในจักรวาลจำนวนมหาศาลในมหาจักรวาล (multiverse) แต่ละจักรวาลแตกต่างกันออกไป ในกรณีนี้จักรวาลหนึ่งอาจมีสงครามโลกครั้งที่ 3 แต่จักรวาลอื่นๆ อาจไม่มี ในจักรวาลหนึ่งเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ปี 2010 อีกจักรวาลหนึ่งอาจเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ปี 2021 คุณยายอาจมองเห็นเหตุการณ์ในโลกคู่ขนานในจักรวาลหนึ่งที่ไม่ตรงกับเหตุการณ์ในจักรวาลของเรา

ย่อมไม่มีใครว่าอะไรหากเราวางงานของนอสตราดามุส คำทำนายของชาวอินคา คำทำนายของคุณยาย คำทำนายของหมอดูบ้านเรา บนชั้นนิยายไซไฟ แต่หากเรานำเสนอมันในฐานะความจริง ประทับตรา “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” เมื่อใด เราก็กำลังสร้างวัฒนธรรมการศึกษาที่วางบนความเชื่อล้วนๆ เรากำลังสร้างวงจรอุบาทว์นี้ต่อให้ลูกหลานของเรา และนี่เป็นความรับผิดชอบของผู้ทำนายและผู้แชร์ข่าวทุกคน

เพราะอย่างที่ Immanuel Kant นักปรัชญาเรืองนามชาวเยอมันในศตวรรษที่ 18 เขียนไว้ “ดังฉะนี้ข้าพเจ้าจำเป็นต้องกวาดความรู้ทิ้งไป เพื่อที่จะมีที่ว่างสำหรับความเชื่อ”

ความเชื่อถูกทดแทนด้วยความรู้ หรือความรู้ถูกทดแทนด้วยความเชื่อ

แปลว่าอะไรที่เป็นคำทำนายไม่ใช่วิทยาศาสตร์? หามิได้ นักวิทยาศาสตร์ก็ทำนายเช่นกัน ทำนายมากด้วย ตั้งแต่เรื่องปกติรายวันเช่น ดินฟ้าอากาศ แผ่นดินไหว ทุกอย่างมีหลักวิทยาศาสตร์รองรับ เราสามารถทำนายสุริยคราสแม่นเป็นนาที รู้วันเวลามาเยือนของดาวหางต่างๆ อย่างแม่นยำ

เรารู้ได้อย่างไร? เปล่า! นักวิทยาศาสตร์ไม่มีญาณพิเศษเห็นอนาคต เรารู้จากการศึกษาฐานข้อมูล ความเข้าใจโครงสร้างและการทำงานของโลก ทำให้เราทำนายอนาคตได้ โดยไม่ได้มองเห็นอนาคต หรือด้วยอำนาจพิเศษอะไร

……………

เรายังสามารถล่วงรู้อนาคตได้ไกลกว่านี้มากๆ เรารู้ว่าอีก 100 ล้านปี ประเทศไทยจะไม่เป็นสภาพเดิม ขวานทองเราจะหายไป เพราะถูกแผ่นดินเวียดนาม ฟิลิปปินส์เคลื่อนมาประกบกลายเป็นก้อนอ้วนๆ ไม่สวยเหมือนปัจจุบัน! ทวีปแอฟริกาจะแตกมีทะเลแทรกเป็นช่วงๆ

อีก 250 ล้านปี ยุโรปจะหายไปจากพื้นโลก พื้นนั้นจะเป็น เพราะแผ่นเปลือกโลกเคลื่อน ทวีปต่างๆ จะกลับมารวมกันเป็นทวีปยักษ์

อีกหนึ่งพันล้านปี น้ำทะเลทั้งหมดบนโลกจะหายไป 27 เปอร์เซ็นต์

นักวิทยาศาสตร์ยังทำนายไปไกลจนถึงวาระสุดท้ายของโลกด้วย อีกหนึ่งหมื่นสองพันล้านปีแสงอาทิตย์จะสว่างกว่าตอนนี้ 2,730 เท่า ดวงอาทิตย์จะขยายตัวมาเกือบแตะโลกเรา ชั้นบรรยากาศของโลกจะสูญสลายไป ทุกชีวิตบนโลกจะตายหมด

ถามว่าคำทำนายเหล่านี้จะเกิดขึ้นแน่นอนหรือ? คำตอบคือมีความน่าจะเป็นสูงมากที่จะเกิดขึ้นหากทุกอย่างยังดำเนินไปตามปัจจัยปกติของมัน แต่อาจไม่เกิดขึ้นหากมีตัวแปรอื่นเข้ามาแทรกแซง 

ยกตัวอย่างเช่น วันพรุ่งนี้มีอุกกาบาตยักษ์พุ่งเข้าชนโลกจนพังหรือแกนโลกเสียสมดุล หรือสิ่งทรงภูมิปัญญาเข้ามาแทรกแซง หรือวันหนึ่งมนุษย์ในอนาคตพัฒนาวิทยาการจนสามารถควบคุมดินฟ้าอากาศและการเคลื่อนของเปลือกโลก หรือสามารถคุมดวงอาทิตย์ได้ ฯลฯ เพราะ ‘คำทำนาย’ ทั้งหมดนี้อิงหลักวิทยาศาสตร์

……………

คนจำนวนมากเชื่อง่ายโดยธรรมชาติ และไม่คิดจะค้นหาความจริง เขาว่าอะไรก็เชื่อไว้ก่อน โดยมีคติประจำตัวว่า “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่”

ไม่มีอะไรทำร้ายสังคมได้เท่าประโยคนี้อีกแล้ว

คำถามว่าคุณยายมั่วหรือเปล่า เห็นอนาคตจริงๆ หรือไม่ ไม่สำคัญเท่าวัฒนธรรมการเสพความเชื่อของเรา

ตั้งแต่ โชเชียล มีเดีย ครอบครองโลก เราได้รับข่าวแบบนี้เสมอ : มะกรูดผสมโซดารักษามะเร็งได้ กินแต่ข้าวโพดต้มสุกรักษามะเร็งได้ วิตามินพิเศษทำให้จมูกโด่งได้ ดื่มชาเย็นทำให้เป็นอัมพฤกษ์ ฯลฯ มากมายนับไม่ถ้วน ผู้คนแชร์ต่อไปโดยไม่คิดหรือสอบถามผู้รู้ก่อนว่าจริงหรือไม่ 

นี่เป็นวัฒนธรรมอันตรายใหญ่หลวง!

การส่งข่าวเรื่องคำทำนายของคุณยายอาจไม่ทำให้ใครตายเหมือนกินยาผิด แต่มันเป็นการเสริมสร้างวัฒนธรรม ‘เชื่อไว้ก่อน’ จนมันกลายเป็นนิสัยเชื่อง่าย วิเคราะห์อะไรไม่เป็น นานๆ เยื่อจมูกก็จะเปื่อยยุ่ยเป็นรูให้เขาใช้เชือกสนตะพายได้ง่ายดาย

……………

วินทร์ เลียววาริณ

winbookclub.com

เฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/winlyovarin/

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0